โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
"ดิฉันทำงานห้างสรรพสินค้า ห้างไม่ให้หยุดวันเสาร์อาทิตย์เด็ดขาดเลยค่ะ หยุดวันอื่นได้ ถ้าหยุดวันอาทิตย์ให้ลาออกไปเลยค่ะ"
"เรียนพิเศษทุกเสาร์อาทิตย์ค่ะ ไปโบสถ์ไม่ได้เลย"
"ขายของที่แหล่งท่องเที่ยวครับ ต้องขายเสาร์อาทิตย์ตลอดครับ วันธรรมดาขายไม่ได้ ไม่มีนักท่องเที่ยว ไปโบสถ์ไม่ได้เลยครับ"
"ต้องเข้าเวรเสาร์อาิทิตย์ตลอด แลกไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสไปโบสถ์เลยค่ะ"
...นี่เป็นปัญหาที่คริสเตียนจำนวนมากต้องเผชิญอยู่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในธุรกิจภาคบริการ ธุรกิจท่องเที่ยว งานที่ต้องมีการเข้าเวรทุกวันและยี่สิบสี่ชั่วโมง เช่น โรงพยาบาล ไปจนถึงนักเรียนนักศึกษาในยุคที่ต้องแข่งขันกันมากกว่าอดีต ฯลฯ
คริสตจักรโดยทั่วไปแก้ปัญหาของคนเหล่านี้โดยพยายามหนุนใจให้มาวันอาิทิตย์เช้าสิบโมงถึงเที่ยงให้ได้ โดยให้พยายามฝืน ไม่ว่าจะเป็นการไม่ทำงานวันอาทิตย์ ปิดร้านวันอาทิตย์ แลกเวรทีตรงวันอาิทิตย์ เปลี่ยนตำแหน่งหรือเปลี่ยนงานใหม่ที่ให้หยุดวันอาทิตย์ ฯลฯ
ผลที่มักพบเห็นเสมอก็คือ คนที่ฝืนได้ก็มี แต่ก็ยากลำบากพอสมควร ส่วนคนที่ฝืนไม่ไหวก็ได้รับการหนุนใจให้เข้ากลุ่มเซลล์/กลุ่มย่อย แต่ก็จะรู้สึกผิดว่าตนเองเป็นคริสเตียนที่ไม่สมบูรณ์ (คริสตจักรใหญ่หน่อยก็อาจมีนมัสการวันอาิทิตย์หลายรอบ นี่ก็ช่วยได้บ้าง) และคนในกลุ่มสุดท้ายซึ่งมีเป็นจำนวนมาก เมื่อฝืนหยุดวันอาิทิตย์ไม่ไหว ก็จะถอยห่างจากคริสตจักรไป และเมื่อถึง ณ เวลาหนึ่ง คริสตจักรก็จะเลิกถือว่าเขาเป็นสมาชิกคริสตจักร รวมไปถึงถือว่าเขาละทิ้งความเชื่อแล้วด้วย
เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า คริสตจักรคาทอลิก เพรสไบทีเรียน และแองกลิกัน ได้พยายามทำให้คริสตจักรเปิดบริการในวันธรรมดาด้วยมานานแล้ว โบสถ์คาทอลิกเปิดให้คนเข้ามาสารภาพบาปและนั่งอธิษฐานที่โบสถ์ได้ทุกวัน หรือมีทำมิซซาให้ทุกวัน คริสตจักรเพรสไบทีเรียนและแองกลิกันก็มีนมัสการในวันธรรมดาด้วย เรียกกันว่าเป็น Weekday Service หรือ Weekday Church แปลเป็นไทยก็คือ รอบนมัสการวันธรรมดา หรือคริสตจักรวันธรรมดา
แนวคิดนี้กำลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ มีรายงานที่น่าสนใจจากคริสตจักรแองกลิกันในอังกฤษว่า ในบางแห่งคริสตจักรวันธรรมดามีคนเข้าร่วมมากกว่ารอบวันอาทิตย์แล้ว
---
่นอกจากวันแล้ว ยังมีแง่ที่น่าสนใจอีกก็คือ ในประเทศไทยเคยมีผู้ตั้ง "คริสตจักรเที่ยงคืน" ซึ่งชื่อก็บอกแล้วว่านมัสการตอนเที่ยงคืน เพื่อรองรับคนกลางคืนหรือคนที่นอนดึกโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็เป็นความจริงว่า มีคนไทยโดยเฉพาะคนกรุงเทพจำนวนเป็นมากนับเป็นแสนเป็นล้านคนที่ต้องทำงานกลางคืน สถานบริการ รวมทั้งคนที่อยู่ในแวดวงบันเทิง นักดนตรี พนักงานเสิร์ฟ ฯลฯ คนเหล่านี้ทำงานหนักและนอนดึกทุกวัน โดยเฉพาะคืนวัันศุกร์เสาร์อาทิตย์ จะให้คนเหล่านี้ไปโบสถ์ตอนเช้าวันอาิทิตย์เป็นไปได้ยากมาก
ผู้เีขียนเองเคยพยายามศึกษาเรื่องนี้โดยสัมภาษณ์คริสเตียนที่ทำงานกลางคืนหลายคน เขาบอกตรงกันว่า มาโบสถ์เช้าวันอาทิตย์เป็นเรื่องยากมากๆ และเมื่อสอบถามว่าแล้ววันเวลาไหนเหมาะสำหรับพวกเขามากที่สุด เขาบอกว่า วันจันทร์บ่าย!!
---
เป็นเรื่องน่าคิดว่า ธรรมเนียมปฏิบัติของคริสตจักรที่ยึดถือกันมาตลอด ที่ต้องนมัสการวันอาิทิตย์เช้าสิบโมงถึงเที่ยง ได้กลายเป็นอุปสรรคของคริสเตียนจำนวนมาก จนคริสเตียนจำนวนมากต้องหายไป ล้มเลิกไป หรือถูกตัดสมาิชิกภาพไป
แต่ยิ่งตกใจเมื่อคิดได้ว่า ขนาดคริสเตียนจำนวนมากยังหลงไปเพราะไม่สามารถมานมัสการวันอาทิตย์เช้าได้ แล้วปัญหาจะยิ่งมากกว่านั้นสักเท่าใด สำหรับคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย พวกเขาก็จะยิ่งยากที่จะเป็นคริสเตียนหากเขาติดปัญหาเรื่องวันอาทิตย์
ลองสมมติว่า คนกรุงเทพมี 10 ล้านคน คนที่อยู่ในกลุ่มที่ติดภาระกิจวันอาทิตย์เช้า เช่น ธุรกิจภาคบริการ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบัันเทิง ธุรกิจกลางคืน งานเข้าเวร ฯลฯ ก็นับว่ามีเป็นจำนวนมาก อาจถึง 1-2 ล้านคน การที่คริสตจักรไม่ได้เอื้ออำนวยความสะดวกกับคนกลุ่มนี้ก็เท่ากับว่า คนกรุงเทพ 1-2 ล้านคนนี้หมดโอกาสจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ทันที !!
หรือจะพูดได้ไหมว่าพวกเขาตกนรกเพราะประตูสวรรค์เปิดเฉพาะวันอาทิตย์เช้า
น่าคิดว่า ธุรกิจของโลกพยายามปรับตัวเพื่อจะอำนวยความสะดวกให้ผู้คนมากที่สุด เพื่อจะได้ลูกค้ามากที่สุด พยายามขยายสาขาให้มากที่สุด และขยายเวลาให้บริการให้มากที่สุด ในขณะที่คริสตจักรยังคงเรียกร้องให้ผู้คนเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาความสะดวกของคริสตจักร
หรือเราต้องลองคิดเรื่องคริสตจักรที่เปิด 24 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 7 วัน และปีละ 365 วัน
หรือคริสตจักรแบบเซเว่นอีเลฟเว่นเสียแล้ว!!
คริสตจักรแห่งหน่งในเกาหลี มีร้านเซเว่นปิดหน้าคริสตจักรเลย
โดยความเคารพ และในความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผมคิดว่าเรื่องการที่มีคนหลายคนไม่สามารถมาโบสถ์ในเช้าวันอาทิย์ได้ เพราะติดเรืองอาชีพที่เขาทำอยู่ ผมมองว่าคนไทยมีจำนวนที่นับถือศ.คริสต์(ทุกนิกาย)ประมาณ 1 %
ตอบลบดังนั้นแสดงว่าในอาชีพที่พวกเราชาวคริสเตียนทำอยู่ (จำนวน1%) มีคนอีกประมาณ90% ทำแทนเราได้ แล้วเราไปอยู่ตรงไหนเราจะไปทำอาชีพอะไร ตรงนี้ขึ้นอยู่คำอธิษฐาน(ด้วยความเชื่อ) ว่าพระเจ้าจะนำเราไปอยู่ตรงจุดไหนที่จะทำให้เราสามารถมานมัสการเช้าวันอาทิตย์ได้ เรื่องนี้พูดยากต้องมีความเชื่อที่เข้มแข็งจริงๆ (ไม่เกี่ยวกับเป็นคริสต์เตียนมานานแค่ไหน)เถียงกันไม่จบ แต่สำหรับผมแล้วเมื่อก่อนวันอาทิตย์เป็นวันที่ผมจะต้องทำอีกอาชีพหนึ่งนอกเหนือจากงานประจำเพื่อความมั่นคงของชีวิต และมีรายได้เพิ่ม แต่พอผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ต้องการให้เรามาโบถส์ทุกเช้าวันอาทิตย์ (มีอะไรลึกซึ้งมากกว่าการมาเฉยๆ)ผมได้ยอมละทิ้งอาชีพที่ต้องทำในวันอาทิตย์และพระเจ้าตอบแทนผมทั้งรายได้เวลามากว่าทำ2อาชีพ และปัจจุบันผมได้เป็นเจ้าของกิจการเล็กของตนเองมีเวลากับงานของพระเจ้าตามสมควร มีรายได้เพียงพอ(ไม่มากมาย)ที่จะได้ทำพันธกิจของพระองค์.ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ..ผมอธิษฐานด้วยความเชื่อ ผมเฝ้าเดี่ยวทุกวันไม่เว้นสักวันเดียวแม้ผมจะเจ็บป่วย หรืองานยุ่งแค่ไหน ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีข้อแก้ตัว เพราะผมรู้ว่าพระเจ้าดีกับผมจริงๆ ทุกครั้งที่ผมอธิษฐาน พระเจ้าไม่ได้ตอบผมทุกครั้ง แต่ผมมีความอดทนที่จะรอและไม่เคยตำหนิพระองค์เลย
ดังนั้นการนมัสการเช้าวันอาทิตย์เป็นสิ่งที่เราควรทำให้เป็นวันบริสุทธิ์ที่สุด
แล้วเราทุกคนที่ยังติดภาระกิจอยู่คงไม่สามารถทำได้ทันที แต่ด้วยความเชื่อและการที่เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะมีคำตอบให้ทุกคนจะจัดสรรงาน เวลา ที่เหมาะสมให้เราอย่างแน่นอน ผมเชื่ออย่างนี้ครับ...ขอพรเจ้าอวยพรทุกท่านครับ...อื้อ
พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าอัจฉริยะ รู้ทุกสิ่ง ดังนั้นพระองค์คงทราบเรื่งแบบนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอยู่แล้วว่า ในสมัยนี้จะเป็นอย่างไร เพียงเเต่พวกเราเองที่มักจะหาเหตุที่จะห่างจากพระองค์ แล้วเราก็จะถูกมารล่อลวงไปครับ
ดิฉันเห็นคุณค่าวันสะบาโต และคิดว่าแต่ละคนมีความเข้มแข็งและการทรงเรียกที่ต่างกันค่ะ หากคริสตจักรจะเปิดรอบนมัสการเพื่อรองรับคนกลุ่มใหม่ๆได้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้นค่ะ คนที่เหยียดได้ก็มี คนที่ยังต้องพัฒนาความเชื่อก็ยังมีค่ะ รากฐานคริสตจักรอยุ่ในพระธรรมกิจการ และอัครทูตรก็สามัคคีธรรมกันทุกวัน "หักขนมปังตามบ้านทุกวันเรื่อยไป" แต่เขามีวันสะบาโตหลักจริงๆคือวันเสาร์(เข้าธรรมศาลา) ซึ่งหากเราจะยึดถือจริงๆตามรากฐานของยิวก็ควรจะเป็นวันเสาร์ แต่เรารุ้ว่าจริงๆแล้วการถือวันสะบาโตเป็นคำสั่งพระเจ้า และเป็นวันที่พระเจ้าตั้งไว้ให้บริสุทธิ์และอวยพรวันนี้ และเป็นการเล็งถึง การเข้าพำนักพักสงบในยุคที่จะมาถึง ที่พระคริสมาปกครอง ในยุคต่อๆมาก็มีการตกลงกันว่าใช้วันอาทิตย์(โดยมีเหตุผลหลายอย่าง..) จริงๆแล้วหากใจเราตั้งใจรักษาวันสะบาโตจริงๆ เราก็จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้พระเจ้าก่อน ซึ่งเราไม่สามารถตัดสินใครบางคนแต่เพียงภายนอกว่าเขาเป็นอย่างไร บางคนอาจจะมาคริสตจักรทุกอาทิตย์ไม่ขาด แต่กลับไม่เป็นที่พอพระทัยก็ได้ เพราะมาเพราะความเคยชินหรือเป็นหน้าตาว่าเราไม่เคยขาด หรือมาคริสตจักรแต่ชีวิตยังมีความเกลียดชังไม่ให้อภัยและไม่ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลง (แต่การมาคริสตจักรก็เป็นสิ่งดีทั้งสิ้นค่ะ)และหลายๆคนอาจจะมาด้วยความรักในพระเจ้าและพี่น้องก็มีมากมาย ดิฉันขอยกตัวอย่างเพื่อนๆมิชชันนารี หลายท่าน ที่ต้องทำพันธกิจเทศนาสั่งสอนตั้งแต่เช้าจนค่ำมืดในวันอาทิตย์ เป็นธรรมดาว่าฝายร่างกายก็ต้องเหนือยล้า แล้วพี่น้องคิดว่าในวันนี้เขาจะได้พักสงบจริงๆไหมคะ? แน่นอนว่าเข้ามีความสุขที่ได้รับใช้ และเป็นพรต่อผู้อื่น แต่ดิฉันคิดว่าพระเจ้าต้องการมากกว่านั้น คือให้เราเป็นมารีย์มากกว่าเป็นมาธาด้วย เพื่อนๆดิฉันเหล่านั้นเขาจริงมีวันสะบาโตในกลุ่มเขาเองที่ไม่ใช่วันอาทิตย์ เพื่อตั้งวันนั้นเป็นวันพักผ่อนทั้งจิตวิญญาณและกายภาพ มีเวลาให้กับตัวเอง ครอบครัว หรืออาจจะศึกษาพระคำส่วนตัว...สรุปก็คือ แต่ละคนมีแนวทางที่พระเจ้าให้ส่วนตัวค่ะ(สิ่งที่ไม่ผิดพระคำ) และทุกสิ่งที่ทำเป็นที่พอพระทัยและถวายเกียรติ์พระเจ้า ก็ดีทั้งสิ้น ...ให้เป็นไปตามความเชื่อ เอเมน!
ตอบลบอ่านบทความแล้วสนับสนุนแนวคิดนี้ครับ
ตอบลบเรื่อง อย่างนี้ คนที่ไม่เคยเจอกับตัวเองไม่รู้หรอกค่ะ ว่าต้องใช้การต่อสู้ และความอดทนมากมายเพียงใด แต่เมื่อเรายอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา สิ่งที่ยากจะเริ่มง่ายขึ้นเสมอค่ะ
ตอบลบทุกสิ่งฝากไว้กับพระองค์เป็นผู้ตัดสิน เราทุกคนก็รู้เองว่าสิ่งที่เราคิดหรือทำนั้นเราถวายเกียตรืแด่พระเจ้าหรือเปล่า เช่นถ้าเราบอกว่าเราไม่สะดวกวันอาทิตย์เราสะดวกวันอื่นเวลาอื่น แล้วเราอธิษฐานจนเราพบว่ามีโบสถ์ที่เขาจัดในวันปกติ (ที่ผมรู้มามีคจ.ที่จัดในบ่ายวันอาทิตย์) แล้วเราก็เข้าไปร่วมนมัสการ ซึ่งนั่นหมายถึงเราจะยึดวันนั้น เป็นวันประจำทุกอาทิตย์ที่จะเข้านมัสการ อย่างมีวินัย แต่ไม่ใช่ว่าพอเขามีจัดวันธรรมดาแล้ว แต่เราก็ยังทำตัวแบบไปบ้าง ไมไปบ้าง ไม่ได้ใส่ใจที่จะยึดเป็นวันสะบาโตของเรา เพราะผมเข้าใจว่าพระเจ้ามีเหตุผลให้เรามีวันสะบาโตของเเต่ละคน แต่ที่ยึดให้เป็นวันเดียวกันก็อาจจะเป็นเพราะให้เราได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพี่น้องในคจ.เเละฝึกให้เรารู้จักยำเกรงพระองค์ที่จะมานมัสการพระองค์ทุกสัปดาห์(จะวันไหนก็ตาม)ให้ติดสนิทกับพระองค์ เพราะถ้าใครก็ตามที่ไม่ติดสนิทก็จะถูกมารล่อลวงไปได้ง่ายและรอดยาก แต่ที่เราควรยึดวันอาทิตย์กันเป็นหลักเพราะคนส่วนใหญ่เขาจะว่างวันนี้กัน ถ้าจัดวันอื่นก็ได้แต่เราก็จะพบบรรยากาศที่เงียบเหงาและนานเข้าเราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์เนื้อหนังก็จะพ่ายแพ้ตัวเอง หรือถูกมารล่อลวงได้
ตอบลบเราไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นว่าไปแล้วเราจะต้องน่ารักขึ้น ดีขึ้นทันตา กับประโยคที่ว่าเห็นคนนั้นมาโบสถ์ทุกสัปดาห์ก็ยังเห็นเขาไม่เติบโตทางฝ่ายวิญญาณ อันนี้เราต้องยกไว้ก่อน เพราะเราทุกคนยังเป็นคนบาป และเราทุกคนยังเป็นมนุษย์ที่พระองค์ยังปั้นไม่เสร็จ ดังนั้นคงต้องละประเด็นนี้ไว้ก่อนว่ามาแล้วทุกคนจะต้องดีขึ้นทุกคน แต่เราจะพูดว่าเขาได้ยำเกรงพระเจ้าที่ยังมาโบสถ์และยอมที่จะมาให้พระเจ้าปั้นเขาเพราะผมพบว่าการที่คนเราจะมีวินัยที่จะพาตัวเองมานมัสการพระเจ้าทุกสัปดาห์เป็นเรื่องที่ทำไม่ง่าย (รวมถึงผมด้วย)มันจะมีอะไรล่อลวงเราเสมอ แต่ถ้าเราให้พระเจ้ามาที่1ก่อนเเล้วพระองค์จะเพิ่มสิ่งทั้งปวงให้เสมอๆ.เพราะผมเจอกับตัวเองมาแล้วเรื่องความยากที่จะมาโบสถ์ทุกวันอาทิตย์(และการเดินทางด้วยระยะทาง3-40กม,และด้วยการทำงานจันทร์ถึงเสาร์) และผมกว่าจะสู้กับตัวเองและมารได้ผมก็เจอออะไรมาเยอะครับ..สรุปจะมาโบสถ์วันอาทิตย์หรือวันธรรมดาก็ไม่ผิดแต่เราก็ต้องมีวินัยที่จะมาประจำทุกสัปดาห์(หรือยำเกรงพระเจ้า) เพียงแต่วันอาทิตย์น่าจะเป็นอะไรที่เราจะเจอบรรยาศที่ดี่กว่าวันธรรมดา เพราะมีเพื่อนและบรรยากาศที่อบอุ่นกว่า (อย่างทั่วโลกวันอาทิตย์ก็ไม่ตรงกันเช่นเราวันอาทิตย์ตรงกับวันเสาร์ของอเมริกา อเมริกาเป็นวันอาทิตย์ตรงกับของเราก็เป็นวันจันทร์..ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านให้พบเวลาที่ตัวเองสะดวกที่จะมานม้สการพระเจ้าทุกสัปดาห์และยำเกรงพระองค์ ซึ่งย่อมเป็นที่พอพระทัยของพระองค์
ประเด็นนี้ร้อนแรงจริงๆ อยากฟังความเห็นเพิ่มเติมอีกค่ะ
ตอบลบ