ลองทายดูว่า หากท่านค้นหาคำว่า "ศิษยาภิบาล" หรือ "Pastor" ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ท่านจะพบกี่ครั้ง?
คำตอบคือ...ครั้งเดียว
ใช่...ครั้งเดียวเท่านั้น เชื่อไหม?ทายต่ออีกสักคำถาม ...
คำว่าศิษยาภิบาลครั้งเดียวที่ว่านั้นปรากฎอยู่ตอนไหน และในเนื้อหาตอนนั้นพูดถึงอย่างไร?
ตอบ... พูดถึงในพระธรรม เอเฟซัส 4:11 โดยบอกว่า "ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์"
สิ่งที่น่าสังเกตจากพระคัมภีร์ข้อนี้ก็คือ 1. คำว่า "ศิษยาภิบาล" ถูกกล่าวถึงว่าเป็น "ของประทานการเป็นศิษยาภิบาล" ไม่ใช่ "ตำแหน่งศิษยาภิบาล" หรือพูดอีกอย่างว่า หมายถึง "ความสามารถในการเป็นศิษยาภิบาล" ไม่ใช่ "ตำแหน่งศิษยาภิบาล" หรือพูดได้อีกว่า หลายคนสามารถมีความสามารถในการเป็นศิษยาภิบาล โดยไม่ต้องมีตำแหน่งที่เรียกว่าศิษยาภิบาล
(หมายเหตุ : ที่จริงแล้ว ตำแหน่งทางการบริหารการปกครองของคริสตจักรท้องถิ่นสมัยแรก ตำแหน่งสูงสุดเรียกว่า "คณะผู้ปกครอง" หรือ "ผู้ปกครองดูแล" ซึ่งจะแปลว่าผู้อาวุโสก็ได้ ภาษาอังกฤษมีการใช้ทั้ง Elders และ Overseers
2. ของประทานการเป็นศิษยาภิบาลที่ว่านี้ก็ถูกกล่าวถึงในท่ามกลางของประทานอื่นอีก 5 อย่าง (หมายเหตุ : อันที่ 4 กับ 5 ก็เป็นที่ถกเถียงกันมากว่า จริงๆ แล้วหมายถึงของประทานสองอย่างแยกกัน คือของประทาน "การเป็นศิษยาภิบาล" กับของประทาน "การเป็นอาจารย์" หรืออันเดียวกันที่ควบรวมกัน คือ ของประทานศิษยาภิบาล-อาจารย์ แต่ถ้าดูจากภาษากรีกแล้วจะสนับสนุนว่าหมายถึงของประทานควบรวมเป็นอันเดียวกันมากกว่า อย่างไรก็ตาม เืนื่องจากในบทความนี้เรายังไม่มีเวลาจะลงลึกประเด็นนี้ จึงใช้แยกไปก่อน จึงถือว่ามี 5 ประทานหลักเพื่อให้เข้าใจง่ายไปก่อน)
เป็นที่ทราบกันดีว่าพระคัมภีร์มีการพูดถึงของประทานมากกว่า 5 อย่างนี้ รวมแล้วมีกล่าวถึงราว 20 กว่าชนิด (ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคนด้วย) ของประทานที่ว่านี้หมายถึงความสามารถพิเศษทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้คริสเตียนแต่ละคนเพื่อใช้ร่วมกันในการรับใช้พระเจ้า แต่บริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้กำลังบ่งชี้ว่า ของประทานทั้ง 5 ที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นของประทานของผู้ที่ต้องทำหน้าที่ผู้นำของคริสตจักรสากล หรือมวลคริสตจักร
3. ของประทานศิษยาภิบาลอันนี้ถูกกล่าวถึงไม่ใช่อันดับแรก แต่เป็นอันดับที่ 4 ถึง 5 ซึ่งถ้าจะว่าไปก็คืออันดับเกือบสุดท้ายหรือสุดท้ายด้วยซ้ำ (หากถือว่าศิษยาภิบาล-อาจารย์ควบรวมกัน) ซึ่งก็น่ั าจะหมายความโดยนัยว่าไม่ใช่ของประทานที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยก็ไม่สำคัญก่อนอันอื่น และไม่สำคัญกว่าอันอื่น
4. ของประทานทั้ง 5 อย่างตรงนี้ รวมทั้งศิษยาภิบาลด้วย เป็นคำพหูพจน์ (มี s ที่ท้ายทุกของประทาน) ซึ่งหมายความว่ามีหลายคนที่มีของประทานเหล่านี้ซ้ำกัน
5. ของประทานทั้ง 5 อย่างตรงนี้ เป็นความสามารถที่มีลักษณะแตกต่างกัน วัตถุประสงค์แตกต่างกัน และต้องใช้ร่วมกัน งานพระเจ้าหรือมวลคริสตจักรจึงจะเกิดผลสมบูรณ์ ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้
- อัครทูต (Apostles) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถในการนำข่าวดีไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ เสมอ และประกาศสั่งสอนและวางรากฐานวางระบบจนทำให้ผู้คนรับเชื่อและเข้มแข็ง แล้วก็จากไปบุกเบิกใหม่ และยังกลับมาเยี่ยม รวมทั้งคอยห่วงใยติดตามดูแลจากระยะไกล มักมีความสามารถในการทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติด้วย! (แน่นอนว่า มีการถกกันมากว่า ตำแหน่งหรือของประทานอัครทูต ยังคงมีอยู่หรือไม่ จะตรวจสอบอย่างไร หรือหากมี สถานภาพและสิทธิอำนาจจะเท่าในยุคคริสจักรสมัยแรกหรือไม่ อย่างไร?)
- ผู้เผยพระวจนะ (Prophets) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถในการรับการสำแดงจากพระเจ้าโดยตรง เพื่อที่จะไปบอกกับคริสตจักรหรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่พระเจ้าทรงระบุอย่างเฉพาะเจาะจง และเนื้อหาที่จะสำแดงนั้นก็ไม่ใช่แบบทั่วไป แต่เป็นแบบที่เฉพาะเจาะจงเช่นกัน การเผยพระวจนะนี้ไม่ใช่การเตรียมคำเทศนาจากการศึกษาพระคัมภีร์ แต่เป็นการได้รับถ้อยคำโดยตรงอย่างเหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการใช้ของประทานนี้อาจใ้ช้ร่วมไปในการเทศนาหรือสอนก็ได้ ไม่ผิดอะไร (นี่ก็อีกของประทานหนึ่งที่มีการถกกันมากว่า ตำแหน่งหรือของประทานผู้เผยพระวจนะ ยังคงมีอยู่หรือไม่ จะตรวจสอบอย่างไร หรือหากมี สถานภาพและสิทธิอำนาจจะเท่าผู้เผยพระวจนะในยุคคริสจักรสมัยแรกหรือพระคัมภีร์เดิมหรือไม่ อย่างไร?)
- ผู้ประกาศข่าวดี (Evangelists) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถในการนำข่าวดีไปสู่บุคคลที่ยังไม่เชื่อ มักหมายถึงการประกาศกับมวลชน ไม่ใช่เป็นเพียงการประกาศส่วนตัวหรือเป็นพยานส่วนตัวกับบุคคลเท่านั้น แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นการทำผ่านงานประกาศใหญ่เท่านั้น เป็นการประกาศข้างถนนก็ได้! และมักต้องได้กระทำการประกาศโดยมีการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเหนือธรรมชาติร่วมด้วยเช่นกัน
- ศิษยาภิบาล-อาจารย์ (Pastors and Teachers หรือ Pastors-Teachers) ศิษยาภิบาลหมายถึงผู้ที่มีความสามารถในการดูแลและสั่งสอนผู้เชื่อหรือกลุ่มผู้เชื่อให้เติบโตในทางของพระเจ้า ตามหลักพระวจนะ รวมทั้งสามารถเสริมสร้างปรับปรุงพัฒนาชีวิตบรรดาผู้เชื่อ รวมทั้งเยียวยาให้การปรึกษาแก่ชีวิตของคริสเตียนในฝ่ายวิญญาณ โดยมุ่งให้ผู้เชื่อเติบโตไปถึงจุดที่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ในพระคริสต์และสามารถเป็นผู้รับใช้พระเจ้าอย่างเต็มประสิทธิภาพเช่นเดียวกับตนเองและผู้นำอื่นๆ ต่อไป เป็นการเลี้ยงดูจิตวิญญาณผู้เชื่อด้วยการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเหนือธรรมชาติ และนี่ก็ยังสามารถรวมถึงการบริหารจัดการในการเสริมสร้างชีวิตกลุ่มผู้เชื่อให้มีประสิทธิภาพด้วย
- ส่วนอาจารย์ (Teacher) ก็หมายถึงการที่บุคคลนั้นต้องเริ่มจากการเป็นผู้รู้ ที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าและฝึกฝน จนมีความรู้ในเรื่องของพระเจ้าอย่างถูกต้องและรู้มากพอ รวมทั้งมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ความสามารถนั้นลงมาในตัวผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันไป จนเกิดผลได้ในที่สุด
6. ของประทานผู้นำทั้ง 5 ประการนี้ต้องมีครบและทำงานร่วมกัน แผ่นดินพระเจ้าจึงจะเกิดผลสมบูรณ์ ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เอเฟซัสตอนนี้ในข้อถัดไปคือข้อที่ 12 เนื้อความจะบอกว่า "เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น" นี่หมายความว่า ของประทานผู้นำทั้ง 5 อย่างนี้ถ้าทำร่วมกัน ธรรมิกชนจะเติบโตเต็มที่จนรับใช้ได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นพระกายพระคริสต์ก็จะจำเริญ แสดงว่า ถ้าอยากให้แผ่นดินของพระเจ้าจำเริญขึ้น เราต้องมีครบทุกของประทานเหล่านี้ และถ้าไม่ครบ ก็ย่อมยากที่จะจำเริญขึ้น !
ข้อสังเกตทั้งหมดนี้กำลังบอกอะไรเรา ?
ทั้งหมดนี่บ่งชี้ว่า
1. ในคริสตจักรสากลมีคนที่มีของประทานแห่งการเป็นผู้นำมวลคริสตจักรเหล่านี้หลายๆ คน และทุกคนต้องเอามารับใช้ร่วมกัน เพื่อทำให้พระกายรวมของพระคริสต์ทั้งหมดจำเริญขึ้น
2. ศิษยาภิบาลไม่ใช่ของประทานที่สูงสุดของคริสตจักร ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประกาศ มีความจำเป็นก่อนศิษยาภิบาลเสียด้วยซ้ำ เพื่อยืนยันเรื่องนี้ ต้องบอกว่าในพระธรรมกิจการมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นอัครทูต ผู้เผยฯ (เช่น ยูดาสกับสิลาส หรือลูกสาวทั้งสี่ของฟีลิป) และแม้แต่ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้ประกาศ (เช่นฟิลิป ฯลฯ) แต่พระธรรมกิจการกลับไม่บันทึกถึงผู้ที่มีของประทานศิษยาภิบาลแม้แต่คนเดียว! (เราพบคำว่าศิษยาภิบาลครั้งแรกและครั้งเดียว และอยู่ไกลถึงพระธรรมเอเฟซัสเลยทีเดียว) น่าแปลกไหม!
3. คริสตจักรไม่ได้ต้องการแค่ศิษยาภิบาล! แต่ต้องการของประทานอื่นๆ ด้วย (ต้องการทั้ง อัครทูต ผู้เผยฯ ผู้ประกาศ และศิษยาภิบาล-อาจารย์) งานพระเจ้าและคริสตจักรทั้งหลาย หากได้รับการนำและดูแลด้วย 5 ของประทานนี้อย่างครบถ้วน ก็ย่อมจะเติบโตเข้มแข็ง เพราะเป็นของประทานที่แตกต่างกันและเสริมกันอย่างมาก ไม่มีอะไรมาทดแทนอะไรได้ และต้องทำงานด้วยกัน
4. ในยุคแรกนั้น ของประทานทั้ง 5 ต้องช่วยกันใช้ให้เป็นพรแก่คริสตจักรทั้งมวล หมายถึงเป็นพรแก่คริสตจักรสากล ไม่ใช่เพียงคริสตจักรท้องถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่ง คริสตจักรท้องถิ่นทุกแห่งจึงควรได้รับพระพรจากของประทาน ทุกวันนี้ก็เช่นกัน
แล้วคริสตจักรทุกวันนี้เป็นอย่างไร?
ต้องยอมรับว่าเราอยู่ในยุคที่คริสตจักรมองว่าศิษยาภิบาลคือผู้นำสูงสุดและสำคัญที่สุดเพียงผู้เดียวของคริสตจักรมานานแล้ว และคิดว่าต้องการแค่ศิษยาภิบาลคนเดียวเท่านั้นพอ และของประทานผู้นำอื่นๆ ที่เหลืออีก 4 อย่างก็ไม่เป็นที่รับรู้ว่ามี หรือคิดว่าหมดไปนานแล้วตั้งแต่ช่วงคริสตจักรสมัยแรก
ผลก็คือ คริสตจักรพลาดโอกาสที่จะได้รับพระพรจากของประทานอื่นอีกหลายอย่างมาก และคริสเตียนหลายคนที่มีของประทานเหล่านั้นก็ไม่ได้ใช้ของประทานหรือใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ งานรับใช้หลายอย่างไม่ได้ถูกยกชูให้เป็นที่รับรู้และเป็นที่ยอมรับอย่างน่าเสียดาย อะไรๆ ก็พูดถึงแต่ศิษยาภิบาล และผู้รับใช้พระเจ้าทุกคนก็อยากจะเป็นแต่ศิษยาภิบาล เพราะมองว่าศิษยาภิบาลคือตำแหน่งสูงสุด มีอำนาจสูงสุด และได้รับเกียรติสูงสุดของงานรับใช้พระเจ้า รวมทั้งการถวายทรัพย์ก็ตกอยู่แก่ศิษยาภิบาลมากที่สุด
คริสตจักรไม่เคยให้เกียรติหรือถวายทรัพย์ให้ผู้รับใช้ในสถานภาพอื่น หรือมีก็น้อยกว่ามาก หรือดูแลเพียงครั้งคราว จนไม่สามารถเลี้ยงชีพด้วยงานรับใช้เช่นนั้นได้ คริสเตียนและผู้รับใช้หลายท่านที่มีของประทานผู้นำที่เด่นชัดอันอื่นก็ยังต้องหาตำแหน่งเป็นศิษยาภิบาลให้ได้ ทั้งที่ไม่ใช่ของประทานของตน เพราะเกรงว่าจะไม่มีที่ยืนในงานรับใช้
และในที่สุด ก็ไม่มีที่ยืนสำหรับของประทานผู้นำที่เหลืออื่นๆ อีกแล้ว ก็เลยมีแต่...ศิษยาภิบาล
น่าแปลกใจว่า ทุกครั้งที่อ่านพระคัมภีร์เราก็พบว่า คริสตจักรได้รับพระพรจากบุคคลผู้มีของประทานผู้นำหลายๆ อย่าง และพูดถึงศิษยาภิบาลน้อยมาก แต่พอเงยหน้ามองโลกความเป็นจริงทีไรเราก็ได้พบแต่...ศิษยาภิบาล ๆ ๆ เอ! ของประทานการนำอื่นๆ หายไปไหนกันหมดนะ!!!
ยิ่งกว่านั้น คริสตจักรยุคหลังยังจำกัดด้วยว่า ศิษยาภิบาลต้องเป็นของโบสถ์ใครโบสถ์ท่าน แบ่งศิษยาภิบาลกันไม่ได้ ใช้ศิษยาภิบาลร่วมกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่สมัยแรก บุคคลผู้มีของประทานผู้นำต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแต่ทำงานร่วมกันและช่วยกันดูแลมวลคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่แห่งใดแห่งหนึ่ง
คริสตจักรเครือข่ายต้องการศิษยาภิบาล และต้องการศิษยาภิบาลหลายๆ คน และต้องการให้ศิษยาภิบาลแต่ละคนช่วยกันดูแลคริสตจักรท้องถิ่นหลายๆ แห่งไปพร้อมๆ กัน และต้องการมีบุคคลผู้มีของประทานผู้นำอื่นๆ อีก 4 อย่างที่เหลือให้มีบทบาทหรือเวทีในการรับใช้ร่วมกับเหล่าศิษยาภิบาลทั้งหลายอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ไปเป็นทีมเดียวกัน
เพื่อว่า..เมื่อของประทานครบ และเผื่อแผ่อย่างทั่วถึง พระกายของพระคริสต์ำก็จะจำเริญขึ้นไปพร้อมๆ กัน
นี่คือสิ่งที่อยู่ในอุดมคติของผม และพี่น้องหลายๆ คนมานานแล้ว
ตอบลบทำไมคริสตจักรต้องการเพียงตำแหน่งศิษยาภิบาล หรือผู้บริหารกิจการด้านงานเอกสารและธุรการ แต่ไม่เน้นด้านจิตวิญญาณ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้มีของประทานได้รับใช้ บางแห่งยังไม่รู้จักของประทาน ไม่มีการพัฒนาของประทาน จึงทำให้ผู้เชื่อศูนย์เสียโอกาสในการพัฒนา นานวันก็กลายเป็นนักเรียนความรู้ทางศาสนศาสตร์ ไม่สามารถเจริญไปถึงจุดที่ควรจะเป็นได้
ขอสนับสนุนแนวคิดนี้เต็มร้อยครับ
เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการแค่ให้คนดูแลเขา(หรือมีใครที่ชอบทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาเป็นพวกที่ต้องถูกดูแลอยู่ตลอดเวลา) เขาจึงโฟกัสไปที่ศิษยาภิบาลซึ่งตามความจริงแล้วผมเห็นด้วยกับบทความของอาจารย์มากถึงมากที่สุดเลยครับและชอบด้วย ดังนั้นผมจึงคิดต่อไปว่าแล้วที่นอกเหนือจากที่เราจะมอบฝากไว้กับพระเจ้าซึ่งเป็นคำที่คริสเตียนหรือศิษยาภิบาลมักจะพูดเสมอๆ เราจะทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้นและพร้อมที่จะใช้ของประทานได้อย่างเต็มรูปแบบเท่าที่พวกเขามีและเต็มตามศักยภาพของเขาที่พระเจ้าได้มอบไว้ให้แก่พวกเขาได้ครับ
ตอบลบบทความนี้เขียนอธิบายได้ดีมาก อยากให้คริสตจักรไทยในอเมริกาได้เรียนรู้ในการรับใช้พระเจ้าร่วมกัน มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และสามารถช่วยเหลือร่วมมือร่วมใจต่อพันธกิจร่วมกันอย่างเต็มกำลังและต่อเนื่อง
ตอบลบขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆ แต่เราต้องมองความเป็นจริงครับว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียควบคู่กันไปซึ่งจะให้วิพากวิจารณ์คงไม่เหมาะในกระทู้เพราะของแบบนี้ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมุมมองของแต่ละฝ่ายครับ แต่ผมเห็นด้วยกับบทความที่ได้อ่านไปครับ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังมีคนกล้าคิดกล้าทำสิ่งที่ดีแบบนี้อยู่ครับ สุดท้ายไม่ต้องห่วงครับ ความจริงทุกอย่างจะต้องปรากฏอยู่แล้วต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้นครับไม่มีใครหลีกหนีได้ครับ
ตอบลบคริสตจักรดำเนินอยู่ในความบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ศตวรรษแรกช่วงปลายแล้วครับ ตั้งแต่เขาปฏิเสธเปาโล และเขาปฏิเสธยอห์นซึ่งคุณสามารถทราบได้จากหนังสือวิวรณ์ พัฒนาการหลังจากนั้นคือการแทรกแซงของมารซาตานมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าพระเจ้าจะพยายามรื้อฟื้นผ่านหลายคน แต่มารก็ได้ชัยชนะในที่สุด ปัจจุบันก็ยังไม่มีคริสตจักร เพราะผู้เชื่อก็ยังปฏิเสธอัครทูตอยู่ พระเจ้าบังตาผู้เชื่อเพราะพวกเขาใจแข็งกระด้างปฏิเสธความจริง
ตอบลบสิ่งที่คริสตจักรเข้าใจผิดมาตลอดคือ ของประทานพันธกรทั้งห้านี้เป็นตำแหน่ง แต่ในในบริบทของพระวจนะ คือของประทาน และของประทานนั้นย่อมมีความสำคัญเท่ากัน ส่วนตำแหน่งนั้น คือผู้ปกครอง ผู้ที่เป็นผู้ปกครองต้องมีของประทานหนึ่งในห้าอย่างที่กล่าวมา เนื่องจากเราถูกสอนในมุมของตาวันตกหรือ กริก(กริกคือต่างชาติในบริบทของพระวจนะ) ทำให้เรามองหลายอย่างพลาดไป
ตอบลบแต่นี้คืเวลาแห่งการรื้อฟื้น ก่อนที่พระเยซูคริสตจักรจะเสด็จกลับมา พระองค์จะรื้อฟื้นทุกอย่างให้คืนสู่สภาพเดิม(กจ 3:21) มีหลายอย่างที่พระเจ้ากำลังรือฟื้นครับ เราอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดครับ
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
ไซม่อน
เห็นด้วย
ตอบลบและพระกายหรือ ทุกของประทาน ต้องติดต่อกัน (อวัยวะต้องติดต่อกัน มิเช่นนั้นเป็นร่างกายพิการ ) พระพรไม่มา พระเจ้าจะอวยพระพรได้ก็ต่อเมื่อ ทุกของประทานติดต่อกัน หรือ พระกายเชื่อม กัน
- จากดีโด้
นี่คือเหตุผลที่พระคัมภีร์สอนให้เรา พึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการศึกษาพระคัมภีร์ เพราะเท่าที่เห็นมาส่วนใหญ่หลายๆสถาบันต่างใช้หลักศาสนศาสตร์ของเขา ทำให้พระวจนะของพระเจ้าถูกบิดเบือนไป เพราะต้องยอมรับว่าไม่ใครที่รู้พระวจนะของพระเจ้าร้อยเปอร์เซนต์ แต่พระคัมภีร์ให้ข้อคิดอย่างหนึ่งคือการยอมฟังซึ่งกันและกัน และให้เกียรติซึ่งกันและกัน คำว่าให้เกียรติกลับถูกมาใช้ในทางที่ผิด การให้เกียรติคือการยกย่อง
ตอบลบผมเชื่อว่าของประทานทุกอย่างจำเป็นต่อคริสตจักรอย่างยิ่ง.. และไม่ใช่เพียงศิษยาภิบาลเท่านั้นที่สำคัญที่สุดในคริสตจักร แต่ทุกคน และทุกอวัยวะต่างมีความสำคัญเช่นเดียวกัน และผมยังเชื่ออีกว่า พระเจ้าไม่ได้นำคริสตจักรเพียงในยุคแรกเท่านั้น ในปัจจุบันพระเจ้าก็ยังนำอยู่ แม้คริสตจักรจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปบ้าง ไมได้หมายความพระเจ้าไม่ได้อยู่กับคริสตจักรแล้ว เพราะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นพระเจ้าก็อุนญาติให้เป็น และมีขึ้น มีคริสตจักรใหญ่เพื่อจะสนับสนุนงานในบางลักษณะที่คริสตจักรเล็กทำไม่ได้ แต่มีคริสตจักรขนาดเล็กเพื่อให้พระประสงค์ของพระองคสำเร็จในเขาแต่ละคนครับ หากเราจะยึดแต่รูปแบบในอดีตเท่านั้นที่ถูกต้อง เราคงไม่ต้องใช้แอร์เพราะในอดีตไม่มีแอร์ในห้องนมัสการการ ไม่ต้องพูดถึงกีต้าร์และเครื่องดนตรีอื่นๆ ฮิฮิ
ตอบลบ