เราได้ยินเรื่องราวจากทั่วโลก คำพรรณาถึงการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ปลุกเร้าหัวใจของเรา มีที่ซึ่งคนนับเป็นหมื่นๆ พากันหลั่งไหลเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า คริสตจักรกำลังเกิดขึ้นอย่างทวีคูณวันแล้ววันเล่า
เราเป็นกลุ่มแรกสุดที่ได้รับสิทธิพิเศษด้วยการเห็นกับตาตนเอง มีครั้งหนึ่งโรลแลนด์และไฮดี เบเกอร์ ได้ร่วมรู้เห็นในการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณของพระเจ้าในสาธารณรัฐโมซัมบิก ซึ่งยากจนที่สุดในโลก จากการเริ่มต้นเพียงเล็กๆ เวลานี้พวกเขามีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเด็กมากกว่า 1,000 คนที่ไดัรับการช่วยเหลือจากชีวิตที่ยากจนข้างถนน และจากเมืองซึ่งไม่ใส่ใจคนไร้ค่า เวลานี้มีคริสตจักรกว่า 3,000 แห่งตั้งขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในโมซัมบิกและประเทศเพื่อนบ้าน การใช้เวลา 2-3 วันในหมู่บ้านเพื่อทำงานด้านสาธารณะสุข และเทศนาข่าวประเสริฐ ตลอดจนการต้องทิ้งคริสตจักรที่มีผู้เชื่อใหม่ 50-100 คนให้ติดตามศิษยาภิบาลซึ่งโรลแลนด์และไฮดีฝีกฝนไว้นั้นเป็นประสบการณ์ที่เราลืมไม่ลง
ในประเทศอินเดีย เราใช้เวลากับผู้ตั้งคริสตจักรคนหนึ่งซึ่งได้ตั้งคริสตจักร 3,000 แห่งมาตั้งแต่ปี 1993 เมื่อมีคนถามว่าเขาคิดว่าคริสตจักควรเป็นอย่างไร เขาจะตอบอย่างสุภาพว่า "รักษาจำนวนให้น้อยเข้าไว้" ** หากกลุ่มใดมีสมาชิก 3 ครอบครัวซึ่งรับบัพติศมาแล้ว มีคนในกลุ่มเป็นผู้นำ และสามารถแยกออกไปตั้งคริสตจักรได้อย่างน้อย 1 แห่ง เราก็ถือว่าเป็นคริสตจักรได้ ** และกระแสดังกล่าวนี้ เราพบว่ามีคนประมาณ 100,000 คนที่กลับใจเป็นคริสเตียน
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระดับโลก ในหนังสือ "กระแสการตั้งคริสตจักรอย่างรวดเร็ว" ฉบับย่อ เขียนโดย เดวิด แกริสัน คณะเซาท์เทิร์นแบ๊บติสต์ (ฉบับแปล สถาบันคริสเตียนศึกษาและพัฒนาคริสตจักร) รายงานดังนี้
+ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อผู้ประสานยุทธศาสตร์ของคณะเซาท์เทิร์นแบ๊บติสต์เริ่มต้นภารกิจที่ได้รบมอบหมายในปี 1993 นั้น มีคริสตจักรในพื้นที่เพียง 3 แห่ง และมีผู้เชื่อ 85 คนจากจำนวนประชากรที่มากกว่า 7 ล้านคน หลังจากนั้น 4 ปี คริสตจักรเพิ่มขึ้นเป็ฯ 550 แห่ง และมีผู้เชื่อ 55,000 คน
+ อินเดีย
ชายสูงอายุที่กลับใจเชื่อพระเยซูจากกระแสการตั้งคริสตจักร (CPM) ได้ตั้งคริสตจักร 42 แห่งภายในปีแรกที่เขารับเชื่อนั้นเอง
+ แอฟริกาเหนือ
นักบวชมุสลิมชาวอาหรับคนหนึ่งพูดอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาเทศนาประจำวันศุกร์ว่ามีมุสลิมจำนวนมากกว่า 100,000 คนที่อาศํยอยู่บริเวณรอบแถบภูเขาได้เปลี่ยนจากมุสลิมมาเป็นคริสเตียน
+ บางเมืองในประเทศจีน
ภายในช่วงเวลา 4 ปี (1993-1997) มีคนรับเชื่อพระเยซูเกินกว่า 20,000 คน ส่งผลให้เกิดคริสตจักรใหม่มากกว่า 500 แห่ง
+ ยุโรปตะวันตก
มิชชันนารีในยุโรปคนหนึ่งรายงานดังนี้ "ปีที่แล้ว (1998) ผมและภรรยาเริ่มตั้งกลุ่มเซลล์ของคริสตจักรขึ้นใหม่ 15 แห่ง เดือนกรกฏาคมเราต้องกลับบ้าน ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อทำภารกิจบางอย่าง หลังจากนั้น 6 เดือน เรากลับไปยุโรปอีกครั้งและต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น คริสตจักรแพร่ขยาย อย่างอัศจรรย์ เราตรวจสอบได้ว่า ขณะนี้ มีคริสตจักรแล้วอย่างน้อย 30 แห่ง แต่ผมเชื่อว่า ยังมีจำนวนมากกว่านี้อีก 2-3 เท่า"
+ เอธิโอเปีย
มิชชันนารีซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์คนหนึ่งให้ความเห็นว่า "ภายใน 30 ปี เราตั้งคริสตจักรในประเทศนี้ได้ 4 แห่ง แต่ช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมา เราตั้งคริสตจักรได้ถึง 65 แห่ง"
ขณะนี้ ทุกพื้นที่ทั่วโลกกำลังสั่นสะเทือนจาก "กระแสการตั้งคริสตจักร (CPM)" ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง บางครั้งเราได้ยินเพียงตัวเลข แต่บางครั้ง ก็มีคำบอกเล่าที่เป็นชีวิตร่วมด้วย เช่นเมื่อเร็วๆนี้ เราได้รับอีเมล์ว่า "คริสตจักรเซลล์ทั้งหมดของเรามีศิษยาภิบาลและผู้อำนวยเป็น"ฆราวาส"ทั้งหมด เพราะงานของเราก้าวไปรวดเร็วมากจน มิชชันนารีแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากนำศึกษาพระคัมภีร์อย่างมาก 2-3 ครั้ง แล้วพระเจ้าก็จะให้มีผู้นำใหม่เกิดขึ้นอย่างน้อย หนึ่งคน ดูเหมือนว่าผู้นำใหม่จะได้รับความรอดและการทรงเรียกให้เป็นผู้นำไปพร้อมๆกัน ดังนั้น เราจึงให้บัพติศมาแก่เขาและให้พระคัมภีร์เขาเล่มหนึ่งหลังจากที่ผู้เชื่อใหม่ หรือผู้นำใหม่ได้รับบัพติศมาแล้ว คนเหล่านี้ก็มีความร้อนรนมาก จนเราไม่สามารถยับยั้งพวกเขาได้ คนเหล่านี้กระจายออกไปทุกคนทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อตั้งกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ในที่ต่างๆ หลังจากนั้น 2-3 อาทิตย์ เราก็จะเริ่มได้รับแจ้งกลับมาว่าเขาได้ตั้งไปกี่แห่งแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดที่เราเคยเห็น "เราไม่ได้เริ่มมันขึ้นมา และเราก็หยุดมันไม่ได้ด้วย"
แล้วพระเจ้าสามาระทำเช่นนี้ในที่อื่นๆ ได้หรือไม่ หรือเราพึงพอใจจะเป็นเพียงแค่ผู้ชมข้างสนาม คอยดูสิ่งที่กำลังเกิดกับที่อื่นๆทั่วโลก พันธกิจ House2House ของเราอยู่ในฐานะที่มีสิทธิพิเศษเนื่องจากได้รับการติดต่อจากผู้คนทุกๆวัน ซึ่งเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าใช้พวกเขาให้ตั้งคริสตจักรใหม่อย่างไร สำหรับประเทศของเราอาจยังไม่มีจำนวนตัวเลขมากมายเหมือนประเทศอื่นๆ แต่หยดน้ำเล็กๆที่เริ่มต้น จะรวมตัวกลายเป็นลำธาร และกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากในที่สุด ขอพระองค์ทำงานเถิด
เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ พระเจ้าทรงช่วงกู้เจ้าสาวของพระองค์คือ คริสตจักรกลับคืนสู่แผนงานดั้งเดิมของพระองค์ ในหนังสือกิจการ คริสตจักรขยายออกไปอย่างรวดเร็ว คริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่ เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่ง เป็นโครงสร้างที่มีชีวิตซึ่งทุกคนมีความสำคัญและบทบาทของตน พวกเขาพบปะกันที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ แบ่งปันชีวิตกันเป็ฯประจำทุกวัน การพบปะกัน เป็นวิธีชีวิตมากกว่าเป็นการประชุมหรือการสอน แต่เมื่อถึงยุคของจักรพรรดิ์คอนสแตนติน ความเชื่อคริสเตียนแปรไปเป็นศาสตาประจำชาติ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย คริสตจักรกับสังคมร่วมกันบ่ายหน้าเข้าสู่ช่วงประวัติศาสตร์ที่เรียกกันว่า "ยุคมืด"
เริ่มแรก การข่มเหงของโรมส่งผลให้คริสตจักรทวีจำนวนขึ้น แต่เมื่อถึงค.ศ.313 จักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นผู้ประกาศพระราชกฤษฏีกาแห่งมิลาน (Edict of Milan) อันเป็นจุดสิ้นสุดของการข่มเหงคริสเตียน
เมื่อคริสเตียนถูกยอมรับอย่างเป็นทางการเช่นนี้ ก็เป็นที่รู้กันว่าทุกคนที่เกิดในอาณาจักรนี้จะได้ชื่อว่าเป็น "คริสเตียน" โดยอัตโนมัติ การเป็นสมาชิกของคริสตจักรกลายเป็นสิ่งน่าดึงดูดด้วยเหตุผลทางโลก ผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรง จากอิทธิพลของโรมต่อคริสตจักรนี้ ทำให้ยุโรปเข้าสู่ยุคประวัติศาสาตร์ที่ในปัจจุบันเรียกว่า "ยุคมืด"
จักรพรรดิ์สร้างวิหารเพื่อให้คริสเตียนมาชุมนุมกันเหมือนประเพณีของศาสนานอกรีดในยุคนั้น อิทธิพลของเพลโต เช่น การใช้กระจกสี หลังคมสูงยอดแหลม เพดานโค้งก็เข้ามาร่วมด้วย สิ่งเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อเข้าถึง "พระเจ้าที่เขาไม่รู้จัก" หนังสือของเจมส์ รัตช์ ชื่อ The Open Church (คริสตจักรเปิด) พูดถึงการที่นักบวชเป็นอาชีพที่ได้รับเงินตอบแทนว่าเกิดขึ้นในยุคนี้
นักบวชและฆราวาสนั้นแตกต่างกันมาก ซึ่งยังคงมีอิทธิพลอยู่จนปัจจุบัน ความแตกต่างนี้เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการในคริสตจักรศตวรรษที่ 4 คำสั่งในพระคัมภีร์ที่บอกว่า ผู้เชื่อทุกคนเป็นปุโรหิตหลวงถูกละเลย คริสเตียนกลายเป็นผู้สังเกตุการณ์ ปิดปากเงียบให้นักบวชเป็นตัวแทนเข้าเฝ้าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ยุคมืดเข้าแผ่ปกคลุมพวกเขาอย่างรวดเร็ว! ยุคมือกิระยะเวลายายนาน
(ไมค์ และ ชู โดกีวิคซ์ จาก The Prodigal Church)
ในยุคแรกได้มีผู้พยายามปฏิรูปคริสตจักร บางคนต้องเสียชีวิตไปเช่นเดียวกันสาวก และยังมีบุคคลอื่นๆ เช่น ลูเธอร์และคาลวินที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านศาสนศาสตร์ และวัฒนธรรมอย่างยิ่งยวด
อาร์เธอร์ วอลลิส ผู้อาวุโสของคริสตจักรนิวเชิร์ชแห่งสหราชอาณาจักรได้อธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาคริสตจักรตลอดหลายศตวรรษทีผ่านมาในคำนำของหนังสือ Another Wave Rolls In (คลื่นลูกใหม่) เขาได้เปรียบเทียบพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เคลื่อนผ่านคริสตจักรเป็นเหมือนกระแสที่ทรงพลัง เป็นพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล งดงามและมีฤทธานุภาพ โดยแสดงให้เห็นเป็นคลื่นที่กระทบก้อนหิน ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางทางได้ คลื่นแต่ละลูกแสดงความจริงที่เปิดออกมาและเป็นสิ่งที่คริสตจักรแต่ละกลุ่มคว้าไว้ สำหรับกลุ่มปฏิรูปศาสนา ความจริงทีว่านี้คือความรอดซึ่งมาจากความเชื่อ สำหรับกลุ่มแบ๊บติสต์ ความจริงคือความสำคัญของการบัพติศมาด้วยการจุ่มมิด และกลุ่มเพนเทคอส ความจริงคือการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง อันเป็ฯการเข้าสู่พระกายของพระคริสต์ พระเจ้ากำลังเปิดเผยทีละขั้น (นำแสงสว่างใหม่ๆ มาจากพระคัมภีร์ซึ่งไม่มีขีดจำกัดของการเวลา) เพื่อเป็นทางให้พระองค์เสด็จมาพบคริสตจักร และวันหนึ่งเจ้าสาวของพระองค์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ (อฟ. 5:26)
(โทนี่ และเฟลิซินี้ เดล จาก Simply Church)
แต่ในบรรดากระแสเหล่านี้ ไม่มีกระแสดใดสามารถเปลี่ยนฐานโครงสร้างของคริสตจักรได้เลย
ปัจจุบัน เราเห็นว่าพระเจ้าทรงเน้นการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่คริสตจักรใช้ ให้กลับเข้าสู่พื้นฐานในทุกทวีป กระแสการตั้งคริสตจักรที่กำลังผลิบานมีรากฐานอยู่ที่กลุ่มเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ที่ทำงาน โรงงาน โรงเรียน หรือที่ซึ่งคนมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยมี่กลุ่มฆราวาสเป็นผู้นำ ความแตกต่างระหว่างผู้รับใช้เต็มเวลาและฆราวาสมีให้เห็นเพียงเล็กน้อย พวกเขาเป็นนักประกาศที่ร้อนรน เอาจริงเอาจัง ผู้เชื่อใหม่ถูกสร้างให้เป็นสาวก และเป็นวงจรหมุนเวียน โดยการที่พวกเขาถูกส่งออกไปตั้งคริสตจักรใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งมีกลไกโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน มีการใช้เวลาด้วยกันซึ่งมักเป็นช่วงรับประทานอาหาร มีความเป็นธรรมขาติลื่นไหล และสนองความต้องการของผู้เข้าร่วม ทุกคนมีบทบาทที่ต้องเล่น ไม่มีใครเป็นผู้เข้าชมข้างสนาม
ผู้นำในประเทศอินเดียคนหนึ่งพูดไว้ไม่นานามานี้ว่า
"นี่คือช่วงเวลาแห่งพระคุณของอัครทูตในประเทศอินเดีย ทุกสิ่งที่เราเคยเรียกว่าคริสตจักรกำลังเปลี่ยนไป คริสตจตักรกำลังเปลี่ยนแปลงจากพันธกิจของศิษยาภิบาลไปเป็นพันธกิจของอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ คริสตจักรกำลังเปลี่ยนการนมัสการที่ประชุมเฉพาะวันอาทิตย์ มาเป็นนมัสการทุกวัน คริสตจักรกำลังเปลี่ยนจาก "คนเดียวฉายเดี่ยวมาเป็นทุกคน" คือ ปุโรหิตหลวง" พระเจ้าตรัสว่า "ในวาระสุดท้าย เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราโปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง
สรรเสริญพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้น คริสตจักรกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนมัสการในตัวตึก ณ. ที่แห่งเดียว ไปเป็นรูปแบบที่ทุกบ้านคือพระนิเวศน์ของพระเจ้า คริสตจักรกำลังเปลี่ยนรูปแบบฝูงชุมนุมชนไปเป็นรูปแบบคริสตจักรตามบ้าน จากกลุ่มใหญ่ไปเป็นแบบ "สองสามคนประชุมกันที่ไหน เราก็อยู่ด้วย" คริสตจักรกำลังเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบการนมัสการแบบประเพณีนิยมไปเป็นนมัสการแบบเปิดกว้างในทุกคนมีส่วนร่วม คริสตจักรจะเป็นที่ซึ่งทุกคนมีส่วนร่วม
คลื่นลูกใหม่กำลังเคลื่อนมา สิ่งที่กำลังเกิดกับคริสตจักรทั่วโลกขณะนี้ อาจกว้างไกลเกินกว่าการปฏิรูปคริสตจักรที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
นิมิตของพันธกิจดอว์น (สร้างสาวกทั่วทุกชาติ) คือคริสตจักรแต่ละแห่งใกล้กันขนาดเดินด้วยเท้าถึงกันได้ และนิมิตนี้ได้แปลงไปเป็นคริสตจักรตามพระมหาบัญชาที่กำลังมุ่งเข้าหาชุมชนที่มีคนตั้งแต่ 500 - 1,000 คน เมื่อ 25ปีที่แล้ว ประเทศฟิลิปปินส์คาดการณ์ว่า จะต้องมีคริสตจักรอย่างน้อย 50,000 แห่ง จึงจะสามารถบรรลุนิมิตนี้ได เราเคยมีการพูดคุจกันในหมู่คริสตจักร องค์กรมิชชันนารี และกลุ่มผู้ร่วมงานในท้องถิ่นในการนำความคิดนี้ไปสู่การปฏิบัติ ผลที่ได้คือ ขณะนี้พวกเขาไปได้ไกลเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว นั่นคือมีคริสตจักรที่กำลังจะตั้งขึ้นมากกว่า 60,000 แห่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร? ประเทศไทยมีประชากรมากกว่า 70 ล้านคน เรากล้าหาญพอที่จะเชื่อพระเจ้า และให้เกิดคริสตจักร 1,000 แห่งในจังหวัดหรือเมืองที่เราอยู่หรือไม่? ให้ชุมชน หมู่บ้าน หอพัก บ้านพักผู้สูงอายุ แต่ละที่จะมีคริสตจักรตั้งอยู่ 1 แห่ง
เมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการท้านทายคริสเตียนให้ตั้งเป้าหมายให้มีคริสตจักรตามบ้านเกิดขึ้น 1 ล้านแห่ง มีผู้ทักท้วงบ้างในเรื่อง การตั้งเป้าหมายเป็นตัวเลขโดยพูดว่า คุณภาพต่างหากที่เราควรให้ความสำคัญให้ที่นี้ เขากำลังหมายถึงชีวิตและชุมชนที่เปลี่ยนแปลง
=> ปฏิบัติ
+ ต้องมีคริสจักรกี่แห่งในเมือง หรือสถานที่ที่คุณอยู่เพื่อจะสำเร็จตามพระมหาบัญชา นิมิตคริสตจักรหนึ่งแห่งต่อ 1,000 คน
ผมชอบเอาตัวโต้กับคลื่นในมหาสมุทร เวลาที่คุณโต้คลื่น คุณจะอยู่ในน้ำรอคลื่นลูกใหญ่ที่คุณจะเกาะเกี่ยวในเสี้ยวของเวลาที่พอเหมาะก่อนที่มันจะแตกกระจายไป คุณจะไม่สนใจคลื่นลูกอื่นๆ เมื่อคุณเห็นคลื่นลูกใหญ่ๆกำลังมาแต่ไกล คุณจะรู้แน่ว่า นี่เป็นคลื่นที่คุณกำลังรออยู่ เมื่อมันมาถึงตัว คุณก็กระดกกระดานซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ติดตัวคุณอยู่เวลานั้น ถ้าคุณกะจังหวะถูก คลื่นก็จะพัดพาคุณจนถึงฝั่งได้
คลื่นคริสตจักรตามบ้าน หรือคริสจักรที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ที่พูดมานี้เป็นคลื่นที่เรากำลังคอยอยู่ เราเพียงแค่โถมตัวออกไป ขณะที่คลื่นม้วนเกลียวเข้ามาเท่านั้น เรากำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่โต้คลื่นนี้ นี่เป็นเวลาที่จะกระดกกระดานแล้ว
=> ปฏิบัติ
1. ดูวีซีดี "กระแสการตั้งคริสตจักร " โดยเดวิด แกริสัน
2. อ่านหนังสือ "กระแสการตั้งคริสตจักรอย่างรวดเร็ว (ฉบับย่อ)" โดย เดวิด แกริสัน
[สะกิดใจ]
1. กระแสการตั้งคริสตจักรคืออะไร? คำจำกัดความที่ง่ายและกระชับของกระแสการตั้งคริสตจักร (Church Planting Movement - CPM) คือการเพิ่มจำนวนคริสตจักรอย่างรวดเร็ว และเป็นทวีคุณ โดยที่คนในคริสตจักรท้องถิ่นเองเป็ฯผู้ตั้งคริสตจักรภายในกลุ่มเชื้อชาติ หรือบางส่วนในกลุ่มชนของเขา (เดวิด แกริสัน จาก "กระแสการตั้งคริสตจักรอย่างรวดเร็ว")
2. "คริสตจักรในประเทศจีน (โดยเฉพาะคริสตจักรใต้ดิน) เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยคำ 3 คำ ซึ่งตอกย้ำอย่างหนักแน่น และได้แพร่ไปทั่วในหมู่คริสเตียนชาวจีน ชาวจีนชอบความก้าวหน้าแบบ "ดี ดีกว่า ดีที่สุด" ดังนั้นคำขวัญของพวกเขาคือ "เป็นเรื่องดี ถ้าคริสเตียนจะนำคนมาหาพระคริสต์ และจะดีกว่านั้นถ้าเขาตั้งคริสตจักร แต่จะดีที่สุดถ้าเขาจุดกระแสการตั้งคริสตจักร"
คริสเตียนชาวอินเดียก็มี 3 ประโยคที่ตอกย้ำอย่างหนักแน่นเช่นกันคือ "คริสเตียนทุกคนตั้งคริสจักรได้ บ้านทุกหลังเป็นคริสตจักรได้ คริสตจักรทุกแห่งเป็นโรงเรียนพระคริสตธรรมได้" (จอห์น ไวท์)
3. ตัวเร่งให้เกิดการปฏิวัตครั้งใหม่นี้คือคนธรรมดา ไม่ใช่คนพิเศษ การเปลี่ยนแป่งจะต้องเกิดขึ้นมากมาย ในขณะที่บางสิ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และจะต้องไม่เปลี่ยนด้วย ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์ซึ่งต้องเป็นมาตราฐานของคริสตจักรมาโดยตลอด ก็จะต้องเป็นต่อไป แต่มีจุดเปลี่ยนสำคัญ บางอย่างที่ต้องมีให้เห็นในคริสตจักรตั้งใหม่
4. พิจารณารูปแบบการขยายพันธุ์ของช้างและกระต่าย
** จากหนังสือ เริ่มตั้งคริสตจักรตามบ้าน โดย Felicity Dale
ตัวอย่างคริสจักร "บ้าน" ในไทย "http://www.facebook.com/pakpingchurch"
ตอบลบ