ของประทานในการเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ และ หลักการของเจโธร
พระธรรมเอเฟซัส 4:11-13 “11.ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ 12.เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น 13.จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”
เมื่อสำรวจของประทานผมพบว่ามี 2-3 อย่าง ผมพบของประทานของผมคือการสอน โดยทั่วไปของประทานในพระคัมภีร์มีประมาณ 27 ของประทาน บางทีความยากจนก็เป็นของประทานเช่นเดียวกัน นั่นไม่ได้หมายความว่า เขายากจนเพราะไม่มีอะไร แต่เขาสามารถยังชีพได้ในสิ่งที่เขาไม่มี สรุปว่าของประทานที่เป็นบุคคลและในเวลาเดียวกันก็มีของประทานที่เป็นหน้าที่ บางคนเป็น อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ศิษยาภิบาล อาจารย์
ศิษยาภิบาลและอาจารย์ ท่านอาจคิดว่าศิษยาภิบาลและอาจารย์เป็นคนละคนกัน หากบอกว่าเป็นคนละกลุ่ม ภาษากรีกจะต้องบอกไว้ (หลักไวยากรณ์ในภาษากรีกแสดงว่าเป็นอันเดียวกัน) ในเอเฟซัสไม่ได้บอกว่าเป็นคน 2 กลุ่ม ศิษยาภิบาลและอาจารย์เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า ศิษยาภิบาลเป็นอาจารย์ในเวลาเดียวกัน
ตัวอย่าง นาฬิกา กับ สายนาฬิกา นาฬิกามาพร้อมสายนาฬิกา มีทั้ง 2 อย่างทั้งตัวบอกเวลาและสายนาฬิกา
ในพระคัมภีร์กำลังบอกว่า ศิษยาภิบาลและอาจารย์เป็นคนๆเดียวกัน งานหลักของศิษยาภิบาลคือการสอน การสอนมี 2 อย่าง 1.สอนในห้องเรียน (คำพูด) 2.สอนด้วยพฤติกรรม คำพูดและการดำเนินชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คำพูดและการกระทำเป็นอันเดียวกัน คนเข้าใจศิษยาภิบาลจากการสอนและการกระทำ หากศิษยาภิบาลสอนว่าประกาศน่ะ และแสดงว่าประกาศอย่างไร ฉะนั้นจะพบว่าสิ่งที่สอนในห้องเรียนต้องกระทำด้วย ศิษยาภิบาลเป็นครูในเวลาเดียวกัน การสอนในห้องเรียนเฉยๆไม่ยากเท่าไร หากใช้เวลาหลายวันก็สามารถเตรียมคำเทศนาได้ แต่คำเทศนาบนธรรมมาศน์ยังไม่สำคัญเท่าการกระทำหลังจากที่คุณเทศนา คำเทศนาหลังจากการเทศนานั้นสำคัญกว่า ผู้คนต้องการเห็นชีวิตที่ศิษยาภิบาลดำเนิน หลังจากที่ศิษยาภิบาลเทศนา สอนด้วยคำพูดและสอนด้วยชีวิต นี่คือวิธีการอบรมฝึกฝนผู้คน ศิษยาภิบาลที่เป็นครูสอน(อาจารย์) ข้อ12.”เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้“ การสอนในคริสตจักรมีเป้าหมายคือการเตรียมคน เหมือนกับช่างไม้ บอกผู้ช่วยของเขาว่าจะใช้ เลื่อย ค้อน สิ่ว เครื่องมือต่างๆอย่างไร ศิษยาภิบาลจะต้องบอกสมาชิกว่าจะทำงานรับใช้อย่างไร ศิษยาภิบาลจะต้องทำพันธกิจ ศิษยาภิบาลต้องฝึกสมาชิกให้ทำพันธกิจด้วย
ศิษยาภิบาลที่เป็นครูสอนนี้ต้องเตรียมธรรมิกชน นั่นคือเตรียมสมาชิกทั่วๆไป ในคริสตจักรมีคน 2 กลุ่ม มืออาชีพ กับ อาสาสมัคร เราฝึกคนเพื่อให้เขารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร (ข้อ 12) เตรียมธรรมมิกชนเพื่อที่จะเป็นคนรับใช้ ธรรมิกชนหมายถึงสมาชิกในคริสตจักร เพื่อคนเหล่านี้จะได้ทำพันธกิจ คำว่า รับใช้ ในภาษาเกาหลี ผมอ่านแล้วได้ความเข้าใจว่า งานแห่งการปรนนิบัติ ในภาษาอังกฤษ อ่านแล้วได้ความเข้าใจว่า “งานแห่งพันธกิจ” เมื่อคนเกาหลีอ่าน ข้อ 12 เตรียมธรรมิกชนเพื่อที่จะเป็นคนรับใช้ สำหรับคนเกาหลีคิดถึงงานบริการ สมาชิกในคริสตจักรในเกาหลีบ้างก็คิดว่า นมัสการพระเจ้าเสร็จแล้วคือการเตรียมอาหารเพื่อรับประทาน นี่เป็นงานบริการ คิดถึงการเป็นปฏิคม(ฝ่ายต้อนรับ) นี่คือความเข้าใจในภาษาเกาหลี การเป็นมัคนายกคือการถือถุงถวาย นับเงินถวาย บางครั้งอาจจะเป็นการเลี้ยงเด็ก จากความเข้าใจของคนเกาหลี การรับใช้ไม่เกี่ยวข้องกับการประกาศพระกิตติคุณ หรือ การสั่งสอน (สร้างสาวก) ฉะนั้นศิษยาภิบาลต้องฝึกฝนสมาชิกในงานฝ่ายวิญญาณ (การประกาศพระกิตติคุณและสร้างสาวก) ไม่ใช่เพียงงานบริการทั่วๆไป
เราจะเรียกคนที่ทำพันธกิจว่า “พันธกร” กลับมาที่ ข้อ 12 ใครคือผู้ทำพันธกิจ ใครคือพันธกร ใครคือผู้ที่จะรับใช้ เราเรียกเขาว่า “ธรรมิกชน” เขาจะทำอะไร สมาชิกคริสตจักรคือ “ธรรมิชน” สมาชิกทุกคนคือผู้รับใช้ คือพันธกร ผมเคยเข้าใจผิดคิดว่าคนที่จบจากสถาบันพระคริสตธรรมจึงจะรับใช้ได้ จากการศึกษาพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษและภาษากรีก ธรรมิกชนทุกคนคือผู้รับใช้ ใช่ผู้รับใช้จบจากโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ ผู้รับใช้เต็มเวลา ฝึกจากโรงเรียนพระคริสตธรรม เขาเป็นคนที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า ถูกฝึกโดยศาสตราจารย์ ถูกวัดผลจากภาค แล้วจึงได้รับการแต่งตั้ง ธรรมิกชนถูกฝึกฝนตระเตรียมโดยศิษยาภิบาล สมาชิกทั่วไปมีของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับเราผู้เชื่อและทรงประทานของประทานฝ่ายพระวิญญาณให้
ตัวอย่าง มีสมาชิกชื่อคุณพาร์ค เป็นครูรวีวารศึกษา ประสบอุบัติเหตุ ขณะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ได้มีเพื่อนครูมาเยี่ยม
เพื่อนครูคนที่ 1 พูดว่า “คุณพาร์ค ได้ข่าวว่าคุณได้รับอุบัติเหตุ ฉันรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในจิตใจ และก็ร้องไห้” ขณะพูดก็ได้จับมือคุณพาร์ค ตาทั้งสองประสานกัน คุณพาร์คได้รับการหนุนใจ ถาม พวกเราพอบอกได้ไหมว่าครูคนนี้มีของประทานอะไร เขามีของประทานแห่งความเมตตา
เพื่อนครูคนที่ 2 พูดว่า “คุณพาร์ค ฉันรู้สึกว่าอาหารที่โรงพยาบาลไม่ค่อยอร่อย ฉันได้ทำซุปมาฝาก มากินซุปเร็วจะได้หายเร็วๆ เป็นซุปฟักทอง อร่อยมากเลย” ถาม ครูคนที่สอนนี้มีของประทานอะไร เขามีของประทานแห่งการปรนนิบัติ
(ประสบการณ์ในการเป็นวิทยากร บางครั้งผมสอนผมเสียงแหบกระหายน้ำ มีคนสังเกตุว่าผมเสียงแหบ จึงลุกขึ้นไปเอาน้ำมาให้ผมดื่ม คนอื่นไม่สังเกตุ แต่คนนี้สังเกตุแล้วไปนำน้ำมาให้ดื่ม เพราะเธอมีของประทานในการปรนนิบัติคนอื่น คนอื่นๆ ไม่สังเกตุเป็นเพราะอาจมีความสุขในการฟัง)
เพื่อนครูคนที่ 3 พูดว่า “คุณพาร์ค เวลาขับรถครั้งต่อไป ต้องระวังหน่อย เมื่อถึง 4 แยก ต้องขับรถช้าลงมองซ้ายมองขวาก่อน” ถาม ครูคนนี้มีของประทานอะไร ครูคนนี้มีของประทานในการสอน
เพื่อนครูคนที่ 4 พูดว่า “คุณพาร์ค ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะเรียก คุณคิมมาสอนรวีแทนคุณ อยู่โรงพยาบาลทำใจสบายๆ ไม่ต้องเป็นห่วงผมจัดการให้” ถาม คนนี้มีของประทานอะไร ครูคนนี้มีของประทานในการจัดการ คนที่มีของประทานในการจัดการการบริหาร จะจัดการการงานได้
ตัวอย่าง มีคนหนึ่งมาบอกว่าเขากระตือรือร้นในการทำงานกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อผมรับเขาแล้วให้เขาไปสอน หลังจากนั้น 1 เดือน มีคนมาบอกว่าเขาทำงานนี้ไม่ได้ เขาสอนแต่นักศึกษาไม่อยากเรียน ไม่ชอบจะเรียนกับเขา เพราะเขาสอนไม่ดี ผมจึงขอให้ให้โอกาสเขาอีก 3 เดือน 3 เดือนต่อมา ปรากฏว่าในชั้นเรียนมีนักศึกษาเหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ จะคุยกับคนนี้อย่างไรดี ผมจึงบอกเขาว่าคริสตจักรของเราต้องการสอนนักเรียน ทำไมคุณไม่ลองสอนนักเรียน เขาตอบว่า ผมสนใจสอนนักเรียน และนักศึกษาด้วย ผมหมายถึงให้สอนนักเรียนระดับมัธยม ต่อมาอาจารย์ผู้นี้ประสบความสำเร็จในการสอนและได้รับการยกย่องจากรัฐบาลด้วย ทุกๆคนมีของประทานที่ต่างกัน
ครูอีกคนหนึ่งพูดว่า “คุณพาร์ค ทำไมคุณไม่ระมัดระวัง ครั้งต่อไปต้องระวังให้ดี คุณทำให้งานรวีวารศึกษาในคริสตจักรเราเกิดปัญหา” ถามครูคนนี้มีของประทานอะไร อาจจะเป็นของประทานในการพยากรณ์ได้ไหม ? มีคนอย่างนี้ในคริสตจักรมากๆ คุณมีปัญหาแน่
หากคุณมารับเชื่อและเป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานของประทานของพระองค์ให้แก่คุณ แน่นอนศิษยาภิบาลมีของประทานในการสอน พระเจ้าประทานของประทานให้สมาชิกในการทำพันธกิจ บางคนเข้าใจผิดคิดว่าศิษยาภิบาลมีของประทานทุกอย่าง จึงให้ศิษยาภิบาลทำทุกอย่าง ศิษยาภิบาลต้องวิ่งวุ่นทำงานทุกอย่าง เพราะถูกจ้างมาให้ทำงาน ต้องออกเยี่ยมสมาชิกทุกคน
ตัวอย่าง เหมือนเรือลำหนึ่ง มีคนตกน้ำ กัปตันต้องกระโดดลงไปช่วยทุกคนหรือ ? ช่วยคนนั้น ช่วยคนนี้ ช่วยทุกคนเสร็จแล้ว กัปตันก็ตายพอดี
ศิษยาภิบาล เรียนจบจากโรงเรียนพระคริสตธรรม ถูกแต่งตั้งแล้วทำงาน ในเกาหลี 50-60 เปอร์เซ็นต์ ศิษยาภิบาลป่วยเพราะศิษยาภิบาลทำงานเยอะ ศิษยาภิบาลเกาหลีตื่นตีสี่ครึ่งอธิษฐาน และตีห้าต้องเทศนา เป็นอย่างนี้ทุกวัน
ตัวอย่าง คริสตจักรของเรามี 52 ครอบครัว เยี่ยมสัปดาห์ละ 1 ครอบครัว สมาชิกจะได้พบศิษยาภิบาลที่บ้านปีละ 1 ครั้ง ถ้าศิษยาภิบาลทำทุกอย่าง สมาชิกจะพบศิษยาภิบาลปีละ 1 ครั้ง นี่คือ คริสตจักรตามประเพณี
คริสตจักรเมื่อผู้ช่วยศิษยาภิบาลไปเยี่ยม สมาชิกถามว่า ทำไมศิษยาภิบาลอาวุโสไม่มาล่ะ ? สมาชิกมีความคิดว่าศิษยาภิบาลอาวุโสต้องมา ศิษายาภิบาลผู้ช่วยไม่ใช่ศิษยาภิบาล ต้องศิษยาภิบาลอาวุโสเท่านั้นมาอธิษฐานเผื่อ ฉะนั้นสมาชิกคริสตจักรจำนวนมากคาดหวังในตัวศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลจะทำทำทุกอย่าง สิ่งที่สมาชิกทำคืออธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาล สมาชิกอธิษฐานขอพระเจ้าให้กำลังกับศิษยาภิบาล บอกพระเจ้าว่า “พระเจ้า ให้กำลังศิษยาภิบาล ให้กำลังกับศิษยาภิบาล เพื่อเขาจะได้รับใช้พระองค์จนตาย” (หัวเราะ) คริสตจักรตามประเพณีให้ศิษยาภิบาลทำงานคนเดียว ศิษยาภิบาลดูแลสมาชิกมากมายไม่ได้ คริสตจักรตามประเพณีศิษยาภิบาลทำงานทุกอย่าง เรียกการทำพันธกิจแบบนี้ว่า “พันธกิจ วิกฤต” หมายความว่า สมาชิกป่วยศิษยาภิบาลต้องไปเยี่ยม ใครหย่าศิษยาภิบาลต้องไปจัดการ ใครจะตายหรือตายศิษยาภิบาลต้องไปดูแล ศิษยาภิบาลไม่สามารถดูแลอภิบาลทุกคนได้ด้วยตนเองเพียงคนเดียว หากศิษยาภิบาลทำอย่างนั้นเรียกว่า พันธกิจวิกฤต คริสตจักรที่ผมรับใช้อยู่มีสมาชิก 6,500 คน ผมไม่สามารถดูแลทุกคนได้ถ้าทุกคนต้องการพบศิษยาภิบาลอาวุโส หากต้องให้เยี่ยมทุกคนผมไม่สามารถทำได้ ศิษยาภิบาลคนเดียวดูแลสมาชิกทั้งหมดไม่ได้ ในปีที่ผ่านมามีสมาชิก 100 กว่าคนจากไปอยู่กับพระเจ้า โดยเฉลี่ยในแต่ละปีมีงานศพ 100 กว่างาน สิบโมงเช้า ทำพิธีแต่งงาน บ่ายโมงทำพิธีปลงศพ คุณทำได้อย่างไร ทำไม่ได้ ผมทำพิธีสมรส 1-2 งานต่อสัปดาห์ พิธีศพ 1-2 งานต่อสัปดาห์ มีสมาชิกที่ป่วยเป็นมะเร็งจำนวนมากผมจะทำอย่างไร ? ฉะนั้นศิษยาภิบาลจะต้องตระเตรียมสมาชิกเพื่อการรับใช้ เพื่อการทำพันธกิจ เตรียมธรรมิกชนให้เป็นศิษยาภิบาลฆราวาส พระเจ้าได้เรียกสมาชิกทั่วไปให้รับใช้พระองค์ ไม่เพียงแต่ตัวศิษยาภิบาลที่อุทิศตัวในการทำพันธกิจ สมาชิกจะต้องอุทิศตัวอุทิศชีวิตให้กับการทำพันธกิจด้วย ศิษยาภิบาลถูกอบรมจากโรงเรียนพระคัมภีร์ สมาชิกโดยทั่วไปต้องได้รับการสอนการอบรมจากศิษยาภิบาลด้วย ศิษยาภิบาลต้องสอนสมาชิกในการประกาศ หาคนมีของประทานในการประกาศมาสอน มาฝึกสมาชิก หาคนที่มีของประทานในการให้คำปรึกษามาฝึกมาสอนสมาชิกเพื่อเขาจะรู้จักให้คำปรึกษา สอนอบรมให้มีครูสอนพระคัมภีร์เพิ่มขึ้น ฝึกบางคนให้เป็นศิษยาภิบาล เราอาจเป็นศิษยาภิบาลของคน 300 คนได้ ฝึกสมาชิกให้เป็นศิษยาภิบาลของคน 5-6 คนได้ ของประทานมีต่างกัน บางคนเป็นครู บางคนเป็นมิชชันนารี ในประทศเกาหลีมีคนมากมายออกมาเป็นมิชชันนารี
อะไรคือของประทานที่แต่ละคนมี ศิษยาภิบาลจึงต้องนำสมาชิกมาร่วมกันรับใช้ คริสตจักรจึงเป็นที่ที่รวมตัวของผู้รับใช้จำนวนมากมาย คริสตจักรจะเป็นที่ที่มีผู้รับใช้จำนวนมากมายได้ เมื่อศิษยาภิบาลได้ตระเตรียมสมาชิกเพื่อการรับใช้ ฉะนั้นเราได้ร่วมกันสร้างคริสตจักรที่ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า ทุกคนเห็นนิมิตในเรื่องนี้แล้วหรือยัง คุณอาจเป็นคนจับปลามาเลี้ยงผู้คน แต่คุณต้องสอนผู้คนให้จับปลาด้วย ศิษยาภิบาลจะต้องแสดงออกถึงการให้สมาชิกรู้และร่วมกันรับใช้
ในปีที่ผ่านมา มีชาวอเมริกัน 2 คนมาเยี่ยมคริสตจักรที่ผมรับใช้อยู่ สมาชิกคนหนึ่งยื่นนามบัตรให้แขกในนามบัตรนั้นมีชื่อของเขาและตำแหน่งระบุว่าเป็นศิษยาภิบาลฆราวาส และได้หันมาแนะนำผมว่านี่คือศิษยาภิบาลอาวุโสของเขา ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่น่าสนในมากในคริสตจักร มีศิษยาภิบาลอาวุโสและในขณะเดียวกันก็แต่งตั้งศิษยาภิบาลฆราวาส (ศิษยาภิบาลที่เป็นสมาชิก) น่าสนใจศิษยาภิบาลฆราวาสมีนามบัตร หมายความว่ามีศิษยาภิบาลเต็มเวลาที่ตระเตรียมสมาชิกให้เป็นศิษยาภิบาลฆราวาส ในข้อ 12 ของเอเฟซัสบทที่ 4 เพื่อตระเตรียมธรรมิกชนในการรับใช้เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น นี่หมายความว่าเราได้ร่วมกันใช้ของประทานที่พระเจ้าประทานให้ ศิษยาภิบาลต้องฝึกคนมาร่วมรับใช้มิฉะนั้นไฟแห่งการรับใช้ในตัวของศิษยาภิบาลจะมอดลง
ตัวอย่าง โมเสสดูแลคนเป็นล้านคนในถิ่นทุรกันดาร โมเสสต้องทำงานหนักในการให้คำปรึกษา ตลอดเวลาเขาเหนื่อยมาก แน่นอนเหนื่อยอย่างนี้เป็นสามีที่ดีไม่ได้แน่นอน วันหนึ่งพ่อตาคือ เจโธร ได้มาหา พูดว่า “เจ้าพยายามจะให้ลูกสาวของเราเป็นหม้ายหรือไง เจ้ากำลังฆ่าตัวตาย เป็นไปไม่ได้ที่คนคนเดียวจะดูแลคนมากมายขนาดนี้ได้ ออกจากบ้านแต่เช้า” เจโธรได้ให้หลักการในการบริหารดูแล อพยพ 18:19 – 27 “ฟังเราบ้าง เราจะให้คำแนะนำแก่ท่าน และขอพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน ท่านจงเป็นผู้แทนของประชาชนต่อพระเจ้า นำความกราบทูลพระเจ้า ท่านจงสอนกฏเกณฑ์ และข้อตัดสินและแสดงให้เขารู้จักทางที่เขาต้องดำเนินชีวิตและสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ยิ่งกว่านั้น ท่านจงเลือกคนที่ยำเกรงพระเจ้า ไว้ใจได้ และไม่กินสินบน แต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เป็นผู้ปกครองดูแลคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง ให้เขาพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆ ก็ให้เขานำมาแจ้งแก่ท่าน แต่คดีเล็กๆน้อย ๆให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน ถ้าทำดังนี้และพระเจ้าทรงบัญชาแล้ว ท่านก็จะสามารถทนได้ ประชาชนทั้งปวงนี้ก็จะไปยังที่อาศัยของเขาด้วยความสงบสุข โมเสสก็เชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่เขาแนะนำทุกประการ โมเสสจึงได้เลือกคนที่สามารถจากคนอิสราเอลทั้งปวง ตั้งให้เป็นหัวหน้าประชาชน เป็นผู้ปกครองพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง คนเหล่านั้นพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ แต่คดียากๆเขานำไปแจ้งโมเสส ส่วนคดีเล็กๆน้อยๆเขาตัดสินเอง โมเสสส่งพ่อตาของตนกลับไป พ่อตาก็กลับไปยังเมืองของเขา” สรุปแล้วคนที่เป็นหัวหน้าดูแลไม่เกิน 10 คน นี่คือหลักการของเจโธร
คำถาม คุณคิดว่าจำนวนสมาชิกของคริสตจักรควรเป็นเท่าไร ? มีคนตอบ 200 คน 500 คน หากคุณเป็นศิษยาภิบาลทำงานคนเดียว 200 คนก็มากเกินไป 500 คนคุณทำไม่ไหว
คำถาม ใครที่นี่เป็นครูสอนรวีวารศึกษาเด็กบ้าง คุณมีนักเรียนรวีวารศึกษากี่คน ? มีคนตอบว่า 10 คน
คุณอธิษฐานเผื่อนักเรียนทุกคืนทุกวันไหม ? ไปเยี่ยมนักเรียนทุกคนไหม ? 10 คนก็ไม่น้อย หากพานักเรียนไปกินไอศครีมต้องไปรถเมล์ 10 คนก็มาก 5 คนก็เป็นไปได้ที่จะไปรถคันเดียว หากดูแลเด็ก 10 คนก็นับว่าเป็นงานที่เยอะ
พระเยซูตรัสว่าให้เราดูแลฝูงแกะของพระองค์ ดูแลแกะทุกๆตัว ศิษยาภิบาลต้องดูแลสมาชิกทุกคน สมาชิกทุกคนได้รับการดูแลจากศิษยาภิบาลไหม ? ศิษยาภิบาลอธิษฐานเผื่อสมาชิกทุกคนไหม ? นี่คือคริสตจักรตามประเพณี คริสตจักรจำเป็นจะต้องจัดองค์กรดูแลตามหลักการของเจโธร
ตัวอย่าง คริสตจักรในเกาหลีจัดองค์กรตามหลักการของเจโธร เหมือนกับอพาร์ทเมนต์ เป็นตึกสูงมีการดูแล ศิษยาภิบาลฆราวาส 1 คน ดูแลสมาชิก 5-6 ครอบครัว มีการพบปะกันสัปดาห์ละครั้ง ที่นั่นคือคริสตจักรสมาชิกทุกคนจะได้รับการดูแล นี่คือพันธกิจที่ไม่วิกฤต (พันธกิจอวิกฤต) ศิษยาภิบาลจะปรากฏตัวเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ศิษยาภิบาลฆราวาสจะกำหนดว่าเมื่อไรเขาจะไปเยี่ยมสมาชิกแต่ละครอบครัว คริสตจักรเล็กในคริสตจักรใหญ่นี้ ทำพันธกิจทุกสัปดาห์ ไม่ใช่พันธกฤตวิกฤต ศิษยาภิบาลฆราวาสอาจจะเยี่ยมครอบครัวที่ชั้น 5 หรือเยี่ยมครอบครัวที่ชั้น 1 ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เรียกเขาให้มาร่วมกันอภิบาลเขาได้อุทิศชีวิตเพื่อการรับใช้เหมือนกับศิษยาภิบาลอาวุโสที่อุทิศชีวิตเพื่อการรับใช้
ศิษยาภิบาลฆราวาส ต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง ?
ใช้หลักของคำว่า PACE : การก้าวเดิน ประกอบด้วย...
PRAYER : อธิษฐาน อธิษฐานเผื่อคนในกลุ่มย่อย สัปดาห์ละครั้งอย่างน้อย อธิษฐานเผื่อคน 6-7 คน คริสตจักรที่ผมรับใช้มี ศิษยาภิบาล 31 คน มีผู้ปกครอง 34 คน ผมไม่สามารถอธิษฐานเผื่อพวกเขาทุกวันได้ การแบ่งกลุ่มย่อยทำให้สามารถอธิษฐานเผื่อคนได้ทุกวัน ผมรู้ว่าการช่วยของคนนั้นจำกัดต้องขอพระเจ้าช่วย พระเจ้าช่วยได้พระเจ้าไม่มีขีดจำกัด หากพระเจ้าช่วยเขาเขาสามารถทำได้ดีกว่าที่ผมช่วยเขา อัครทูตเปาโล มักจะกล่าวว่า เมื่อระลึกถึงท่านข้าพเจ้าก็ขอบคุณพระเจ้า และอธิษฐานเผื่อท่านเสมอ พันธกิจทุกอย่างเริ่มด้วยการอธิษฐานและจบลงด้วยการอธิษฐาน หากคุณสนทนากับใครทางโทรศัพท์ให้จบลงด้วยการอธิษฐานเผื่อเขาด้วย ใครปรึกษาเราเมื่อจบแล้วให้อธิษฐานเผื่อเขา นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่คุณสามารถทำได้ ถาม คุณมีใครอธิษฐานเผื่อคุณทุกวันไหม ? ในขณะที่เราเดินทาง เราดำเนินชีวิต มีคนอธิษฐานเผื่อเราทุกวันไหม ? เราต้องจัดระบบว่ามีใครคนหนึ่งอธิษฐานเผื่อคุณ พันธกิจเริ่มต้นที่การอธิษฐานนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ พันธกิจคืออะไร พันธกิจคือการที่ขยับพระเจ้าเพื่อเขาอีกนัยหนึ่งคือการพยายามให้เขาพบกับพระเจ้า นำพระเจ้าให้เข้าสู่ชีวิตเขา
AVAILABLE : ให้เวลาเสมอ มีคนหนึ่งคนใดที่อยู่ภายใต้การดูแลป่วย ศิษยาภิบาลฆราสวาสไปเยี่ยมเขา วันเกิดเขาศิษยาภิบาลฆราวาสอยู่ที่นั่น เขาทุกข์ศิษยาภิบาลฆราวาสทุกข์ด้วย ศิษยาภิบาลอยู่ที่นั่นทำอะไร ปรากฏตัวที่นั่นก็พอแล้ว เมื่อเขาป่วยเราอยู่ข้างๆเขา นี่คือ INCANATION (ศาสนศาสตร์การอวตาร ยอห์น 1 ผู้บันทึก) อิมมานุเอล พระเจ้าอยู่กับเรา เราอยู่กับเขา โอกาสและสถานการณ์ใดๆก็ตามศิษยาภิบาลฆราวาสอยู่ที่นั่น หากเขาอยู่ในการทดลองเราอยู่ที่นั่น ไม่จำเป็นต้องพูด คุณฟังเขาเท่านั้นก็พอ เมื่อเขาระบาย คุณมีความเมตตา เห็นอกเห็นใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เมื่อเขาโดดเดี่ยวเดียวดายคุณอยู่ที่นั่น เขารู้สึกว่าเขาพบกับความรักสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าคุณไม่ได้อธิษฐานเผื่อพวกเขาก่อน พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น คุณเป็นผู้แทนของพระเจ้า ที่จะทำให้เขาสัมผัสกับความรักของพระเจ้า เมื่อมีงานศพศิษยาภิบาลไปที่บ้านของผู้ตายบอกทุกคนว่า “ไม่ต้องร้องไห้ผู้ตายไปสวรรค์แล้ว ไม่ต้องร้องไห้” นี่เป็นศิษยาภิบาลที่ไม่ดี ศิษยาภิบาลต้องอยู่ที่นั่นร้องไห้กับเขา โอบกอดเขา คุณอยู่ที่นั่น อยู่ที่นั่น ฟังเขา ไม่ต้องพูดมาก ฟังสำคัญกว่าพูด อยู่กับเขา ฟังเขา นี่คือการอภิบาลศิษย์
CONTACT : ติดต่อ ติดต่อสัปดาห์ละครั้งมีการติดต่อ 2-3 ครั้งต่อปีไปเยี่ยมเขาที่บ้าน โทรศัพท์ติดต่อถามเขาว่าสบายดีไหม ? หากเขาตอบว่าสบายดี คุณบอกว่าดีใจที่เขาสบายดี มีอะไรก็ติดต่อกันน่ะ คุณสามารถส่ง อีเมล์สั้นๆไปหาคนของคุณ ถามไถ่ถึงครอบครัวของเขา เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤต คุณอยู่ที่นั่นกับเขา เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี โทรศัพท์ไปให้เขารู้ว่ามีบางคนสนใจเขา อธิษฐานเผื่อเขาอยู่ ให้ศิษยาภิบาลฆราวาสรู้ว่าเขาต้องอธิษฐานเผื่อ ให้เวลากับสมาชิก ติดต่อสมาชิกอยู่เสมอ ดูแลก่อนวิกฤตจะมาถึง ก่อนวิกฤตจะมาก็รู้อยู่แล้ว คริสตจักรที่ผมรับใช้อยู่มีสมาชิก 6,500 คน มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายตลอดเวลา จึงมีการแบ่งเขตเพื่อดูแล เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ศิษยาภิบาลฆราวาสจะเข้าไปดูแลก่อน อะไรที่จัดการไม่ได้ศิษยาภิบาลเขตดูแล อะไรที่จัดการไม่ได้จริงๆ ค่อยมาบอกผม ศิษยาภิบาลฆราวาส 1 คนดูแล 5-6 ครอบครัว เขาอธิษฐานเผื่อคนของเขา ให้เวลาเสมอ ติดต่อ 5-6 ครอบครัวเสมอ
EXAMPLE : ตัวอย่าง ศิษยาภิบาลฆราวาสต้องเป็นตัวอย่างในสิ่งต่อไปนี้
1. รักพระเจ้า 2. รักเพื่อนบ้าน 3.รักคริสตจักร 4. อธิษฐาน 5. รับใช้
ฝึกศิษยาภิบาลฆราวาสให้ทำหน้าที่เหล่านี้ ศิษยาภิบาลอาวุโสต้องเป็นแบบอย่าง คริสตจักรต้องมีการ
อบรมศิษยาภิบาลฆราวาสเป็นประจำ คริสตจักรที่ผมรับใช้อยู่มีการอบรมศิษยาภิบาลฆราวาสทุกวันพฤหัสบดีตอนเช้า ซึ่งเป็นหน้าที่ของผม
เราจะเลือกคนประเภทไหนมาเป็นศิษยาภิบาลฆราวาส
ใช้หลักการของคำว่า FAT ได้แก่
FAITHFUL สัตย์ซื่อ สัตย์ซื่อในการนมัสการ สม่ำเสมอ รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
AVAILABLE พร้อมเสมอ มีเวลาให้
TEACHABLE สอนได้ รับการสอนได้ พร้อมจะเรียนรู้ พร้อมจะฟัง พร้อมจะเติบโต
เลือกคน FAT ฝึกฝนให้เขาเป็นศิษยาภิบาลฆราวาส อย่าลืมคุณคือศิษยาภิบาลคุณคืออาจารย์ในเวลาเดียวกัน ขอพระเจ้าให้คุณมีความเข้าใจในการทำพันธกิจใหม่
คำถามจากผู้รับการอบรม
ถาม#1 มีวิธีการอย่างไรในการกระตุ้นและสร้างศิษยาภิบาลฆราวาสในคริสตจักร
ตอบ
1. ต้องมีนิมิตที่ชัดเจนและสอนพระคัมภีร์เทศนาในเรื่องเหล่านี้ เช่น อพยพ 18, ยอห์น 17, เอเฟซัส 4 ,ยอห์น 21
2. เลือกคน FAT
3. อบรมและตระเตรียมคนที่ถูกเลือกให้มีทักษะ
4. มีการทำพันธสัญญาในการรับใช้
ถาม#2 ศิษยาภิบาลอยู่ภายใต้การนำของธรรมกิจมีเทอมในการทำงานจะทำอย่างไร คณะธรรมกิจก็มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
ตอบ ศิษยาภิบาลต้องเป็นผู้นำในคริสตจักร นี่เป็นคำสอนตามพระคัมภีร์ ศิษยาภิบาลต้องศึกษาพระคัมภีร์ร่วมกับผู้ปกครอง ศิษยาภิบาลเป็นผู้นำ คณะผู้ปกครองเป็นผู้สนับสนุน เมื่อมีความเข้าใจแล้ว เข้าใจค่านิยม คำสอนจากพระคัมภีร์แล้วจึงจัดองค์กรของคริสตจักร
มีข้อข้องใจครับ
ตอบลบก. คริสตจักรในประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดมีสมาชิกกี่คนครับ
ใครทราบบ้างเอ่ย
ข. เหตุใดคริสตจักรจึงจ้าง จำนวน ศ.บ.ไม่เหมาะสม กับจำนวนสมาชิก