ท่านที่กำลังทำหรือประสงค์จะทำคริสตจักรเครือข่ายหรือคริสตจักรเครือข่ายบ้านหรือต้องการสนับสนุน โปรดแจ้งให้ทางพันธกิจทราบเพื่อจะได้ช่วยเชื่อมโยงกับที่อื่นๆเพื่อจะช่วยเหลือกันและกันได้อย่างกว้างขวาง แจ้งมาที่ networkchurchministry@gmail.com / ดาวโหลดเอกสารแนะนำ

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ให้พระเยซูเป็นศีรษะที่แท้จริง



จอร์จ บาร์นา ผู้เขียนหนังสือ The Second Coming of the Church หรือ การมาครั้งที่สองของคริสตจักร ได้เขียนไว้ว่า  “มีข้อผิดพลาดมากมายเมื่อคริสตจักรมอบอำนาจความเป็นศีรษะให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่พระคริสต์ กระแสคริสตจักรตามบ้านเชื่อในพระเยซูผู้เป็นศีรษะของพระกาย ไม่ใช่ศีรษะของผู้นำเผด็จการหรือผู้นำเดี่ยว หรือการต้องยอมจำนนต่อผู้นำเพราะเขามีตำแหน่งหรือหน้าที่ แต่เป็นการตระหนักรู้ว่า “ศีรษะของพระกายคือพระคริสต์” (คส 2:19) และคนที่เป็นคริสตจักรจะต้อง “จำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ (อฟ 4:15)”

ผมอ่านแล้วเห็นด้วยเลย และได้ผ่านประสบการณ์นี้ด้วยตนเอง จึงทำให้เข้าใจจริงๆว่าคริสตจักรจำนวนมากในปัจจุบัน ยอมมอบตำแหน่งศีรษะหรือยอมจำนนแก่ผู้นำไปเรียบร้อยแล้วทางพฤตินัย



คริสตชนนั้นคือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์และดำเนินชีวิตติดตามตามหลักการของพระวจนะ คริสตจักรนั้นเป็นสถานที่ที่คริสตชนจะได้มีโอกาสเรียนรู้ศึกษาพระวจนะและฟังคำเทศนาผ่านผู้รับใช้พระเจ้าหรือที่เราเรียกท่านว่าผู้นำ   และผู้รับใช้หรือผู้นำก็คือผู้ที่พระเจ้ามอบของประทานไว้ในด้านต่างๆ รวมทั้งการเป็นอาจารย์ซึ่งมีหน้าที่สั่งสอน (อฟ 4:11) การสอนพระวจนะจึงจำเป็นแก่สมาชิกเพื่อที่จะได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้อง   

จึงเีรียกได้ว่าผู้นำมีสิทธิอำนาจในการสั่งสอน เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจในการสั่งสอน   พระคัมภีร์บอกว่า พระเยซูนั้นทรงสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ (ลก 4:32 - คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ) ในคริสตจักรก็เหมือนกัน ครั้งใดเมื่อผู้นำสั่งสอน ก็เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจเช่นเดียวกัน (2คร 2:21 ผู้ซึ่งทรงตั้งเรากับท่านทั้งหลายไว้ในพระคริสต์ และได้ทรงเจิมเราไว้นั้นก็คือพระเจ้า) ผู้นำจึงเป็นทั้งผู้มีของประทาน และเต็มไปด้วยการเจิม



อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราได้เห็นภาพของ ผู้นำคริสตจักรซึ่งทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าในคริสตจักร และ มีสิทธิอำนาจในการเป็นผู้รับใช้พระเจ้า และใช้สิทธิคำว่าผู้นำนี้ มาเป็นอุปกรณ์ในการทำภาระกิจที่พระเจ้าทรงเรียกให้สำเร็จ   ภาระกิจของผู้นำนั้นคือ สอนและสั่งชีวิตของคริสตชน ให้เติบโตขึ้นไปถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ แต่คงเป็นเรื่องปกติหากผู้นำได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และ ยืดมั่นต่อการทรงเรียกที่พระเจ้าทรงเรียกใช้

ผมเคยได้นั่งคุยกับฝรั่งบางคนที่เป็นคริสเตียน แต่บอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่อยากไปโบสถ์บ้าง หรือไม่อยากไปโบสถ์ใหญ่บ้าง สิ่งที่พอจะสรุปได้จากที่เขาเล่าให้ฟังก็คือ พวกเขาพบว่า คริสตจักรมักจะใช้สิทธิอำนาจเหนือสมาชิกมากเกิน และ เรื่องการเงินที่ได้จากเงินถวายมีจำนวนมาก ซึ่งทำให้สมาชิกมีคำถามในใจในการใช้เงินของผู้นำคริสตจักร  และด้วยเหตุนี้ ฝรั่งจำนวนมากในปัจจุบัน หันไปเข้าโบสถ์เล็กที่ใกล้บ้าน หรือ เปิดนมัสการกันเองในครอบครัวและกับเพื่อนในละแวกเดียวกัน

ผมไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า หรือ เรื่องการถวายทรัพย์ครับ ผู้นำย่อมมีสิทธิอำนาจแน่นอนครับในการดูแลปกครองคริสตจักร ในการสั่งและสอน แต่สิ่งที่ผมพยายามจะชูประเด็นคือ อาจจะมีผู้นำคริสตจักรจำนวนไม่น้อยที่กำลังใช้สิทธินี้เกินกว่าที่ควร  จนถึงขั้นที่เรียกว่าพยายามทำหน้าที่เป็นศีรษะของคริสตจักรแทนพระคริสต์!  

และ การที่สมาชิกฟังคำสอนของผู้นำที่ใช้พระวจนะในสอนและสั่ง สมาชิกก็ย่อมจะเชื่อฟังฤทธิ์เดชของพระวจนะแน่นนอนครับ   
บวกกับยศตำแหน่งของท่านผู้นำในคริสตจักร ยิ่งทำให้สมาชิกทั้งเลื่อมใสและเกรง  เมื่อผู้นำเห็นว่าสมาชิกเริ่มเชื่อฟังในสิ่งที่ผู้นำสอนและสั่ง ด้วยสิทธิอำนาจที่มาจากพระวจนะ และด้วยบารมีของท่าน  เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้นำจะมีช่องทางในการใช้สิทธิได้ในหลายด้าน ใช้สิทธิอำนาจ ในการเรียกร้อง การขอ การสั่ง ซึ่งหากการเรียกร้อง หรือการสั่งนั้น เป็นประโยชน์ต่อตัวสมาชิกเอง หรือต่อคริสตจักร ก็คงเป็นการดี และเป็นพรแก่คริสตจักร แต่ถ้าหากไม่ใช่   ก็จะเป็นโทษมหันต์ต่อคริสตจักรทีเดียว   ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่

อย่าลืมนะครับว่า หนังสือพิมพ์ ตำราเรียน หรือแม้แต่งานวิจัยจำนวนมากมาย ก็ยังถูกพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ได้เมื่อเวลาผ่านไป  หรือถึงกับถูกพิสูจน์ว่าผิด และถูกล้มล้างแนวคิดได้  เพราะความไม่เข้าใจของคนที่เขียน หรือคนที่สอน ก็มีอีกมากมาย ผู้ที่ศึกษาศาสนศาสตร์ ทุกวันนี้ก็ยังมีหลายเรื่องราวที่ยังมีการศึกษาหาความชัดเจนจากพระคัมภีร์อยู่เพราะมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องศึกษา และแม้กระทั่งอาจารย์ที่สอนศาสนศาสตร์บางท่าน ก็ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดที่เคยคิดและเขียนไว้นับสิบปีว่าที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง   

ฉะนั้นท่านไม่คิดบ้างหรือครับว่า ผู้นำคริสตจักรบางท่านก็อาจสอนผิดพลาด  (อาจด้วยความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์)  หรือบางเรื่องที่สอนผิดเพราะมีวาระส่วนตัวสอดแทรกในคำสอนคำเทศนา   หรือบางเรื่องที่ท่านสอนอาจจะเป็นคำสอนที่ดีมาก  แต่ก็พูดไม่หมด  คือไม่ได้บอกสมาชิกว่า มันมีความจริงอีกด้านหนึ่งอยู่ด้วย!  

ผมเองยังฟังคำเทศนาของผู้นำคริสตจักรท่านนั้นท่านนี้อยู่เป็นปกติครับ แต่วันนี้ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ จอร์จบาร์นาเขียนไว้ชัดเจนขึ้น    ผมก็เห็นด้วยว่าไม่ว่าเราฟังคำเทศนาสั่งสอนจากผู้นำอย่างไร  เราก็ยังต้องให้พระเยซูเป็นศีรษะของคริสตจักร     แม้เรายังฟังคำเทศนาจากผู้นำต่อไปอีกเรื่อยๆ    ผู้นำก็ยังเป็นคนที่เรารักเคารพนับถือ   แต่คริสตชนเราก็ต้องมอบความคิดจิตวิญญาณแก่พระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว  ฉะนั้น...

สอนเราได้ แต่อย่าครอบครองความคิดจิตใจเราครับ



2 ความคิดเห็น:

  1. เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ ผู้นำคริสตจักรบางกลุ่มห้ามสมาชิกไปฟังเทศน์ ฟังคำสอนของคริสตจักรอื่น ห้ามไม่ให้ไปร่วมสัมมนาพิเศษของผู้ที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า ไม่ให้สมาคมหรือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอื่น

    เมื่อการห้ามมันถึงจุดที่เรียกว่าอึดอัด คนก็ต้องไหลออก บางกลุ่มแตกกันอย่างที่เห็น แต่ขอบคุณพระเจ้าครับ หลายคนก็คิดได้ว่า คริสตจักรคือพระกาย เราต้องส่งเสริมกันและกัน และมาร่วมกันเป็นเครือข่าย เพื่อช่วยกันประกาศพระบารมีของพระเยซูเจ้า

    สาวกสองคน(ของยอห์น) นั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป
    ยอห์น บทที่ ๑ ข้อ ๓๗

    เมื่อผู้เชื่อได้รับการเลี้ยงดูจนเติบโตแล้ว เขาต้องออกไปติดตามพระเยซูเอง เขาต้องออกไปเรียนรู้กับพระเยซูเจ้าตัวต่อตัว แต่ผู้นำยังคงต้องการให้ผู้ติดตามของเขา เป็นเพียงผู้ติดตามเพื่อนั่งฟังในศาลาธรรมของสำนักเท่านั้น

    ตอบลบ
  2. ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเห็นข้างบน

    ตอบลบ

นี่เป็นเวทีเสรีแต่โปรดสุภาพและไม่พาดพิงผู้อื่นอย่างไร้จริยธรรม รวมทั้งสนับสนุนให้ระบุชื่อจริง กองบก.ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบทความและความคิดเห็นอีกทั้งอาจลบหรือแก้ไขหากเห็นว่าไม่เหมาะสม ส่งความคิดเห็นโดยตรงต่อกองบก.ได้ที่ networkchurchministry@gmail.com

คริสตจักรเครือข่ายบ้าน's Facebook Wall