ผมอ่านแล้วเห็นด้วยเลย และได้ผ่านประสบการณ์นี้ด้วยตนเอง จึงทำให้เข้าใจจริงๆว่าคริสตจักรจำนวนมากในปัจจุบัน ยอมมอบตำแหน่งศีรษะหรือยอมจำนนแก่ผู้นำไปเรียบร้อยแล้วทางพฤตินัย
คริสตชนนั้นคือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์และดำเนินชีวิตติดตามตามหลักการของพระวจนะ คริสตจักรนั้นเป็นสถานที่ที่คริสตชนจะได้มีโอกาสเรียนรู้ศึกษาพระวจนะและฟังคำเทศนาผ่านผู้รับใช้พระเจ้าหรือที่เราเรียกท่านว่าผู้นำ และผู้รับใช้หรือผู้นำก็คือผู้ที่พระเจ้ามอบของประทานไว้ในด้านต่างๆ รวมทั้งการเป็นอาจารย์ซึ่งมีหน้าที่สั่งสอน (อฟ 4:11) การสอนพระวจนะจึงจำเป็นแก่สมาชิกเพื่อที่จะได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้อง
จึงเีรียกได้ว่าผู้นำมีสิทธิอำนาจในการสั่งสอน เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจในการสั่งสอน พระคัมภีร์บอกว่า พระเยซูนั้นทรงสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ (ลก 4:32 - คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ) ในคริสตจักรก็เหมือนกัน ครั้งใดเมื่อผู้นำสั่งสอน ก็เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจเช่นเดียวกัน (2คร 2:21 ผู้ซึ่งทรงตั้งเรากับท่านทั้งหลายไว้ในพระคริสต์ และได้ทรงเจิมเราไว้นั้นก็คือพระเจ้า) ผู้นำจึงเป็นทั้งผู้มีของประทาน และเต็มไปด้วยการเจิม
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราได้เห็นภาพของ ผู้นำคริสตจักรซึ่งทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าในคริสตจักร และ มีสิทธิอำนาจในการเป็นผู้รับใช้พระเจ้า และใช้สิทธิคำว่าผู้นำนี้ มาเป็นอุปกรณ์ในการทำภาระกิจที่พระเจ้าทรงเรียกให้สำเร็จ ภาระกิจของผู้นำนั้นคือ สอนและสั่งชีวิตของคริสตชน ให้เติบโตขึ้นไปถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ แต่คงเป็นเรื่องปกติหากผู้นำได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และ ยืดมั่นต่อการทรงเรียกที่พระเจ้าทรงเรียกใช้
ผมเคยได้นั่งคุยกับฝรั่งบางคนที่เป็นคริสเตี
ผมไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า หรือ เรื่องการถวายทรัพย์ครับ ผู้นำย่อมมีสิทธิอำนาจแน่นอนครับในการดูแลปกครองคริสตจักร ในการสั่งและสอน แต่สิ่งที่ผมพยายามจะชูประเด็นคือ อาจจะมีผู้นำคริสตจักรจำนวนไม่น้อยที่กำลังใช้สิทธินี้เกินกว่าที่ควร จนถึงขั้นที่เรียกว่าพยายามทำหน้าที่เป็นศีรษะของคริสตจักรแทนพระคริสต์!
และ การที่สมาชิกฟังคำสอนของผู้นำที่ใช้พระวจนะในสอนและสั่ง สมาชิกก็ย่อมจะเชื่อฟังฤทธิ์เดชของพระวจนะแน่นนอนครับ
บวกกับยศตำแหน่งของท่านผู้นำในคริสตจักร ยิ่งทำให้สมาชิกทั้งเลื่อมใสและเกรง เมื่อผู้นำเห็นว่าสมาชิกเริ่มเชื่อฟังในสิ่งที่ผู้นำสอนและสั่ง ด้วยสิทธิอำนาจที่มาจากพระวจนะ และด้วยบารมีของท่าน เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้นำจะมีช่องทางในการใช้สิทธิได้ในหลายด้าน ใช้สิทธิอำนาจ ในการเรียกร้อง การขอ การสั่ง ซึ่งหากการเรียกร้อง หรือการสั่งนั้น เป็นประโยชน์ต่อตัวสมาชิกเอง หรือต่อคริสตจักร ก็คงเป็นการดี และเป็นพรแก่คริสตจักร แต่ถ้าหากไม่ใช่ ก็จะเป็นโทษมหันต์ต่อคริสตจักรทีเดียว ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่
อย่าลืมนะครับว่า หนังสือพิมพ์ ตำราเรียน หรือแม้แต่งานวิจัยจำนวนมากมาย ก็ยังถูกพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ได้เมื่อเวลาผ่านไป หรือถึงกับถูกพิสูจน์ว่าผิด และถูกล้มล้างแนวคิดได้ เพราะความไม่เข้าใจของคนที่เขียน หรือคนที่สอน ก็มีอีกมากมาย ผู้ที่ศึกษาศาสนศาสตร์ ทุกวันนี้ก็ยังมีหลายเรื่องราวที่ยังมีการศึกษาหาความชัดเจนจากพระคัมภีร์อยู่เพราะมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องศึกษา และแม้กระทั่งอาจารย์ที่สอนศาสนศาสตร์บางท่าน ก็ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดที่เคยคิดและเขียนไว้นับสิบปีว่าที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง
ฉะนั้นท่านไม่คิดบ้างหรือครับว่า ผู้นำคริสตจักรบางท่านก็อาจสอนผิดพลาด (อาจด้วยความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์) หรือบางเรื่องที่สอนผิดเพราะมีวาระส่วนตัวสอดแทรกในคำสอนคำเทศนา หรือบางเรื่องที่ท่านสอนอาจจะเป็นคำสอนที่ดีมาก แต่ก็พูดไม่หมด คือไม่ได้บอกสมาชิกว่า มันมีความจริงอีกด้านหนึ่งอยู่ด้วย!
ผมเองยังฟังคำเทศนาของผู้นำคริสตจักรท่านนั้นท่านนี้อยู่เป็นปกติครับ แต่วันนี้ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ จอร์จบาร์นาเขียนไว้ชัดเจนขึ้น ผมก็เห็นด้วยว่าไม่ว่าเราฟังคำเทศนาสั่งสอนจากผู้นำอย่างไร เราก็ยังต้องให้พระเยซูเป็นศีรษะของคริสตจักร แม้เรายังฟังคำเทศนาจากผู้นำต่อไปอีกเรื่อยๆ ผู้นำก็ยังเป็นคนที่เรารักเคารพนับถือ แต่คริสตชนเราก็ต้องมอบความคิดจิตวิญญาณแก่พระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว ฉะนั้น...
ผมเองยังฟังคำเทศนาของผู้นำคริสตจักรท่านนั้นท่านนี้อยู่เป็นปกติครับ แต่วันนี้ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ จอร์จบาร์นาเขียนไว้ชัดเจนขึ้น ผมก็เห็นด้วยว่าไม่ว่าเราฟังคำเทศนาสั่งสอนจากผู้นำอย่างไร เราก็ยังต้องให้พระเยซูเป็นศีรษะของคริสตจักร แม้เรายังฟังคำเทศนาจากผู้นำต่อไปอีกเรื่อยๆ ผู้นำก็ยังเป็นคนที่เรารักเคารพนับถือ แต่คริสตชนเราก็ต้องมอบความคิดจิตวิญญาณแก่พระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว ฉะนั้น...
สอนเราได้ แต่อย่าครอบครองความคิดจิตใจเราครับ
เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ ผู้นำคริสตจักรบางกลุ่มห้ามสมาชิกไปฟังเทศน์ ฟังคำสอนของคริสตจักรอื่น ห้ามไม่ให้ไปร่วมสัมมนาพิเศษของผู้ที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า ไม่ให้สมาคมหรือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอื่น
ตอบลบเมื่อการห้ามมันถึงจุดที่เรียกว่าอึดอัด คนก็ต้องไหลออก บางกลุ่มแตกกันอย่างที่เห็น แต่ขอบคุณพระเจ้าครับ หลายคนก็คิดได้ว่า คริสตจักรคือพระกาย เราต้องส่งเสริมกันและกัน และมาร่วมกันเป็นเครือข่าย เพื่อช่วยกันประกาศพระบารมีของพระเยซูเจ้า
สาวกสองคน(ของยอห์น) นั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป
ยอห์น บทที่ ๑ ข้อ ๓๗
เมื่อผู้เชื่อได้รับการเลี้ยงดูจนเติบโตแล้ว เขาต้องออกไปติดตามพระเยซูเอง เขาต้องออกไปเรียนรู้กับพระเยซูเจ้าตัวต่อตัว แต่ผู้นำยังคงต้องการให้ผู้ติดตามของเขา เป็นเพียงผู้ติดตามเพื่อนั่งฟังในศาลาธรรมของสำนักเท่านั้น
ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเห็นข้างบน
ตอบลบ