คงต้องตอบว่าได้แน่นอน ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่ข้อเท็จจริงจากการวิจัยพบว่า คริสตจักรบ้านที่ไม่ทำเครือข่ายจะไม่ค่อยเติบโตเท่าที่ควร และหลายที่ก็ล้มเลิกไปในที่สุด สาเหตุเป็นเพราะธรรมชาิติของคริสตจักรบ้านนั้นมีคนน้อย ก็เพราะสถานที่จุคนได้น้อยเป็นทุนอยู่แล้ว (ยกเว้นบางบ้านก็ใหญ่จริงๆ เช่น คจ.บ้านในจีน บางหลังมีเป็นร้อยๆ คน)
และความที่คนน้อยผลที่ตามมาคือ กำลังคนก็จะน้อย ของประทานก็น้อย ทรัพย์ก็จะน้อย จะทำอะไรก็ดูติดขัด ขาดคนขาดเงินขาดความสามารถ ยิ่งถ้าเอาลักษณะของโบสถ์ใหญ่มาเปรียบเทียบก็จะรู้สึกว่า นักดนตรีก็ไม่มี เครื่องดนตรีไม่มี หรือมีแต่กีต้าร์ ครูรวีก็ไม่มี ทำอะไรใหญ่ๆ ก็ไม่ได้
ประการต่อมาคือ พอคนน้อยเวลานมัสการก็อาจรู้สึกเงียบเหงา รู้สึกเหมือนไม่มีพลัง เหมือนพระเจ้าไม่อยู่ด้วย (ซึ่งก็เป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่ความจริง) รู้จักกันแต่คนเดิมๆ การนำการสอนก็จะมาจากคนเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ยิ่งถ้าไม่มีผู้รับเชือใหม่เพิ่มก็จะยิ่งเบื่อและท้อใจ
ผลที่สุดคือ ความเบื่อและความท้อใจ ตอนแรกๆ อาจไม่รู้สึกมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปีและปีแล้วปีเล่าจะยิ่งรู้สึก
...................
และในขณะที่โบสถ์ใหญ่ อ.ริค วอเรนบอกว่า ง่ายที่หลายคนจะหลบงานรับใช้หรือถูกมองข้ามทำให้ไม่ได้รับใช้ ซึ่งก็น่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง เพราะผู้รับใช้หลายคนที่อยู่โบสถ์ใหญ่ระบายให้ฟังว่า อยู่โบสถ์ใหญ่ไม่เคยได้เทศนา เพราะถือว่าไม่เก่งพอสำหรับการเทศน์ต่อหน้าคนเยอะๆ หรืออาจเน้นให้แต่ศบ.อาวุโสเทศน์คนเดียว หรือเนื่องจากคนเก่งอยู่ร่วมกันเยอะ จึงต้องให้คนเก่งๆ ก่อน หลายคนเลยอยากออกไปอยู่โบสถ์เล็กจะได้เทศนาบ้าง แต่ในคริสตจักรบ้าน เขาได้เทศน์แน่ๆ จุดเด่นสำคัญของคริสตจักรบ้านอยู่ตรงนี้คือ นอกจากถูกและง่าย แล้ว ยังทำให้คริสเตียนทุกคนได้รับใช้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่มาโบสถ์เพื่อมานั่งเก้าอี้ให้เต็มเท่านั้น!
อีกจุดที่น่าสนใจคือ ผมได้คุยกับสมาชิกคริสตจักรบ้านหลายคนในสหรัฐ แทบทุกคนเคยไปโบสถ์ใหญ่แล้วเลิกไป เมื่อถามเหตุผล พวกเขาก็จะบอกคล้ายๆ กันว่า ไปโบสถ์แล้วแค่ได้เป็นผู้ชมแล้วก็กลับ ไม่อบอุ่น และที่สำคัญคือไม่มีสิทธิมีส่วนในการบริหาร เพราะการตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้นำข้างบนๆ เราสมาชิกไม่มีสิทธิร่วมตัดสินใจอะไร ผมก็ได้แต่ฟังและคิดตาม]
.............................
แต่จุดอ่อนของคริสตจักรบ้านที่่ว่ามานี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยรูปแบบ "คริสตจักรเครือข่ายบ้าน"
นั่นคือ ต้องไม่ใช่ทำอยู่แต่บ้านเดียว ต้องพยายามตั้งคริสตจัักรบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วเชื่อมโยงกันเป็นคริสตจักรเครือข่าย หรือร่วมมือกับคริสตจักรบ้านอื่นๆ ที่เขาดำเนินการกันอยู่แล้ว
เพื่อให้เกิดการรวมตัวกันร่วมมือกันและช่วยเหลือกัน และจะยิ่งดีหากร่วมมือกันจนราวกับเป็นคริสตจักรเดียวกัน!
รวมตัวกันนมัสการเป็นครั้งคราว ถี่ห่างตามแต่เหมาะสม เพื่อให้เกิดพลังแห่งการรวมตัวกัน
แบ่งปันบุคคลากรกัน ผู้นำผลัดกันไปสอนไปเทศนา ผู้นำนมัสการเวียนกันนำ ผู้เป็นพยานเวียนกันไปเป็นพยาน หรือแม่ครัวเวียนกันไปโชว์ฝึมือ
รวมตัวกันจัดการประกาศหรือพันธกิจอื่นๆ หรือแม้แต่ร่วมมือกันในการตั้งคริสตจักรบ้านแห่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รวมเงินถวายกันทำงานประกาศ การอบรม ฟื้นฟู การเพิ่มพูนคริสตจักร งานมิชชั่นในและต่างประเทศ ช่วยเหลือทางการเงินกัน ซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นแล้วแบ่งปันกันใช้ หรือแม้แต่ออกเงินให้ก่อนแล้วค่อยๆ ผ่อนคืน
และในคริสตจักรบ้าน สมาชิกจะมีส่วนในการตัดสินใจมาก แทบทุกเรื่องจะถูกนำมาเสนอให้พิจารณาหลังนมัสการเสร็จ
ทั้งหมดนี้ก็เท่ากับว่า คริสตจักรเครือข่ายบ้านเป็นการผสมผสานระหว่างคริสตจักรบ้านกับคริสตจักรใหญ่ เอาจุดดีของแต่ละอันมาอุดจุดโหว่ของกันและกัน แต่ยังคงจุดเน้นอยู่ที่ความเป็นคริสตจักรบ้านมากกว่า (ในขณะที่คริสตจักรเซลล์หรือคริสตจักรที่มีกลุ่มเซลล์ แม้ว่ามีการใช้บ้านเหมือนกัน แต่ก็ยังเน้นที่คริสตจักรใหญ่มากกว่า จึงไม่ถือว่าเหมือนกัน)
คริสตจัักรเครือข่ายบ้านในสหรัฐแห่งหนึ่ง ชื่อ Dove ministry ทำคริสตจักรบ้านไปเรื่อยๆ และเมื่อมารวมตัวกันนมัสการเฉลิมฉลองด้วยกัน มีคนมาถึง 2,000 คน คนมากกว่าคริสตจัักรที่มีอาคารหลายแห่ง และถือเป็นคริสตจักรเมก้าเชิร์ชได้เลย
แถมจุดที่ดีกว่าคือ ต้นทุนถูกมาก ไม่มีต้นทุนเรื่องอาคารแม้แต่บาทเดียว ในขณะที่เมก้าเิชิร์ชต้องใช้เงินเป็นสิบๆ ล้านหรือร้อยล้านเพื่ออาคารและระบบแอร์ อีกทั้งไม่มีเงินเหลือมากนักสำหรับสนับสนุนงานมิชชั่นต่างประเทศเพราะเงินหมดไปกับเรื่องอาคาร ค่าไฟ และการบริหารภายใน (โบสถ์ใหญ่หลายแห่งต้องปิดเพราะผ่อนอาคารต่อไม่ไหวหรือสู้ค่าบำรุงรักษาและงบบริหารไม่ไหว)
แต่คริสตจักรเครือข่ายบ้่านอันนี้เขารวมเงินถวายกันและส่งไปสนับสนุนงานมิชชั่นต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก ถามเขาว่าทำไมทำได้ เขาตอบว่า ก็เงินถวายที่มีไม่รู้จะเอาไปใช้อะไร ก็พวกเราไม่ต้องซื้อไม่ต้องผ่อนเรื่องโบสถ์ ผู้รับใช้เต็มเวลาก็ไม่ได้มีหรือมีก็น้อยคนเพราะแต่ละบ้านก็สอนก็นำกันเองได้ ใช้แต่ผู้รับใช้ฆราวาสเสียเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่กินกันก็ต่างคนต่างเอามารวมกัน ทั้งหมดนี่จึงทำให้เงินเหลือ เลยส่งงานมิชชั่นได้เยอะ
สรุปก็คือ คริสตจักรบ้านดี แต่คริสตจักรเครือข่ายบ้านดีกว่าครับ !
ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
นี่เป็นเวทีเสรีแต่โปรดสุภาพและไม่พาดพิงผู้อื่นอย่างไร้จริยธรรม รวมทั้งสนับสนุนให้ระบุชื่อจริง กองบก.ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบทความและความคิดเห็นอีกทั้งอาจลบหรือแก้ไขหากเห็นว่าไม่เหมาะสม ส่งความคิดเห็นโดยตรงต่อกองบก.ได้ที่ networkchurchministry@gmail.com