ท่านที่กำลังทำหรือประสงค์จะทำคริสตจักรเครือข่ายหรือคริสตจักรเครือข่ายบ้านหรือต้องการสนับสนุน โปรดแจ้งให้ทางพันธกิจทราบเพื่อจะได้ช่วยเชื่อมโยงกับที่อื่นๆเพื่อจะช่วยเหลือกันและกันได้อย่างกว้างขวาง แจ้งมาที่ networkchurchministry@gmail.com / ดาวโหลดเอกสารแนะนำ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คริสตจักรอันตราย (Abusive Church)

คริสตจักรที่ทำอันตราย
โดย ดร.ศิลป์ชัย  เชา์ว์เจริญรัตน์

ไม่นานมานี้ผู้เขียนต้องศึกษาค้นคว้าสำหรับการสอนวิชา "ลัทธิเทียมเท็จ" ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่คริสตชนทั่วไปถือกันว่าเป็นกลุ่มความเชื่อที่ถือตนว่าเป็นคริสตชนแต่ยึดหลักความเชื่อที่ผิดจากพระคัมภีร์  ในการศึกษาค้นคว้าก็พบว่าน่าเบื่อพอสมควร เพราะเนื้อหาก็เป็นเรื่องเดิมๆ ที่ทราบๆ กันพอสมควรอยู่แล้ว  รายชื่อของกลุ่มลัทธิเทียมเท็จก็เป็นชื่อเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มพยานพระยะโฮวาห์ (Jehovah's Witnesses) มอร์มอนหรือสิทธิชนยุคสุดท้าย (Mormonism) ลัทธิบุตรพระเจ้าหรือครอบครัวแห่งความรัก (Children of God หรือ Family of Love)  มูน (Unification Church หรือ Moonism) คริสตจักรอัครทูตใหม่ (The New Apostolic Church)  คริสเตียนวิทยาศาสตร์ (Christian Science) เนื้อหาก็เกี่ยวกับว่าแต่ละกลุ่มมีประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร หลักความเชื่อที่ว่าผิดนั้นผิดอย่างไรบ้าง และคริสตชนจะโต้แย้งกลุ่มคำสอนผิดเหล่านี้อย่างไร ท่านผู้อ่านหลายท่านก็คงทราบเรื่องเหล่านี้พอสมควรอยู่แล้ว


แต่ขณะที่เืบื่อๆ อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเหตุทำให้สะดุ้งขึ้นมาก็คือ จากการค้นคว้าได้พบข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ที่บอกว่า ปัจจุบันนี้ คริสตจักรในแบบทั่วๆไปที่ไ่ม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มลัทธิเทียมเท็จ และหลักความเชื่อก็ดูเหมือนถูกต้อง กลับมีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างจากลัทธิเทียมเท็จ และสร้างความเสียหายต่อชีวิตผู้คนได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และเผลอๆ อาจมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะผู้คนไม่ทันระวังตัวเนื่องจากดูผิวเผินก็เป็นเหมือนกับคริสตจักรทั่วไป และมีความสัมพันธ์กับคริสตจักรทั่วไปด้วย ทั้งคริสตจักรก็อาจจะดูใหญ่โต เร้าใจ ร้อนรน คนก็เยอะ  เต็มด้วยความรักความอบอุ่น

คริสตจักรประเภทนี้เริ่มถูกจัดประเภทเป็นกลุ่มใหม่ โดยไม่ถูกเรียกว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ แต่ถูกแยกเป็นอีกประเภท โดยถูกเรียกว่าเป็น "Abusive Church" หรือแปลเป็นไทยๆ ว่า "คริสตจักรอันตราย"

ทุกวันนี้มีหนังสือและเวบไซท์ต่างประเทศมากมายและมากขึ้นเรื่อยๆ ที่รายงานเกี่ยวกับคริสตจักรประเภทนี้ว่าสร้างความเสียหายแก่ชีวิตผู้คน ซึ่งก็หมายถึงสมาชิกและบุคคลแวดล้อม อย่างมาก  และยังแนะนำวิีธีที่สามารถช่วยเหลือเยียวยาบรรดาผู้ที่รับผลร้ายเหล่านี้ด้วย   คริสตจักรประเภทนี้มีไม่น้อยในประเทศตะวันตก แต่ทุกวันนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก แน่นอนประเทศไทยด้วย  
  
หลังสือบางเล่มที่พูดถึงคริสตจักรอันตราย
เล่มนี้ชื่อ "คจ.ที่ทำอันตราย"
ส่วนเล่มนี้ชื่อ "การฟื้นสภาพจากคริสตจักรที่ทำอันตราย"

แล้วจะดูได้อย่างไรว่าที่ไหนเป็น Abusive Church ? 

ดูยาก  เป็นที่ยอมรับกันว่า จุดที่ทำให้คริสตจักรอันตราย หรือAbusive Church เหล่านี้อันตรายกว่าลัทธิเทียมเท็จก็คือ มันดูเหมือนคริสตจักรทั่วไป  และแฝงอยู่ในคณะทั่วไป ไม่ใช่คณะของตนเองต่างหาก  หรือบางทีมันอาจเป็นเฉพาะกับศิษยาภิบาลท่านนี้ท่านเดียว แต่คริสตจักรอื่นในคณะเดียวกันที่มีศิษยาภิบาลท่านอื่นดูแลก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน   ฉะนั้น เพียงแค่อ่านชื่อคริสตจักรหรือชื่อคณะ เราจะไม่มีทางทราบได้เลยว่าที่นี่เป็นหรือไม่ ต้องดูลึกๆ ถึงจะรู้   และอีกอย่างคือ ไม่แยกด้วยว่าเป็นคาทอลิกหรือโปรเตสแต๊นท์  เพราะขณะนี้มีข่าวฉาวของทั้งสองนิกายดังไปทั่วโลก

ต้องเข้าใจไว้ว่า  การเป็นลัทธิเทียมเท็จดูกันที่หลักข้อเชื่อเป็นหลัก   แต่คริสตจักรอันตรายหรือAbusive Church ไม่อาจแยกแยะได้จากหลักข้อเชื่อ   เพราะหลักข้อเชื่อจะเหมือนกับคริสตจักรทั่วๆไปทุกประการ   คริสตจักรประเภทนี้เมื่อถูกคนวิจารณ์ว่าสอนผิดหรือสอนเพี้ยน  พวกเขาก็มักจะตอบทันทีว่าให้เปิดธรรมนูญตรวจสอบดูได้เลย(หรือแม้แต่ดูบทเรียนสมาชิกได้เลย) ว่ามีหลักข้อเชื่อใดที่ผิดบ้าง  ซึ่งก็จะพบว่าไม่มี   แต่สิ่งที่ผิดจะแทรกอยู่ในกระบวนการบริหารหรือปรัชญาการรับใช้  ซึ่งไม่มีเขียนไว้ในธรรมนูญ!  แต่สอนกันด้วยวาจาและแฝงอยู่ในระบบบริหารภายใน

ถึงกระนั้น จากการประมวลจากแหล่งข้อมูลโดยรวม มีการบ่งชี้คล้ายๆ กันว่า ลักษณะที่พอสังเกตได้ว่าเป็นคริสตจักรอันตรายจะมีลักษณะทำนองนี้

1. เน้นความสูงส่งและสิทธิอำนาจของผู้นำคริสตจักรมาก  ให้สมาชิกเคารพยกย่องผู้นำแบบสูงเด่น จนเป็นรองถัดจากพระเ้จ้า  และถือว่าผู้นำมีสิทธิอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  สมาชิกต้องเชื่อฟังผู้นำแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิทธิตรวจสอบและถ่วงดุลหรือแม้แต่ซักถาม นอกจากนั้นชีวิตส่วนตัวของผู้นำมักเป็นเรื่องปิดลับคลุมเครือ โดยเฉพาะเรื่องรายรับรายจ่าย ทรัพย์สิน การใช้เวลาส่วนตัว ประวัติความเป็นมา รวมทั้งการทำตนให้เป็นบุคคลพิเศษที่เ้ข้าถึงยากมากๆ

คริสตจักรแบบนี้จะเน้นการสร้างให้สมาชิกภักดีต่อผู้นำสูงสุดอย่างมากจนสุดโต่ง เช่น การเทศนาต้องทำโดยผู้นำสูงสุดคนเดียวเท่านั้น คนอื่นในคริสตจักรแทบไม่มีสิทธิเทศน์ หรือถ้าผู้นำไม่อยู่ก็ต้องใช้เทศน์อัดวีดีโอแล้วเปิดให้ดูแทน หรือต้องเชิญนักเทศน์จากต่างประเทศมาแทน เพื่อให้คนผูกติดกับผู้นำสูงสุดเท่านั้น แม้แต่การรับบัพติศมาก็รับกับคนอื่นไม่ได้ ต้องรับกับผู้นำสูงสุด วางค่านิยมของคริสตจักรว่าสมาชิกต้องเชื่อฟังศิษยาภิบาลในระดับเดียวกับการเชื่อฟังพระเจ้า  การไม่เชื่อฟังศิษยาภิบาลเท่ากับไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะเน้นคำสอนว่า ห้ามวิจารณ์ผู้นำ ห้ามตรวจสอบผู้นำ ทั้งๆที่มีเรื่องที่ชวนสงสัยว่าผู้นำทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มักจะเน้นว่า "ห้ามแตะต้องผู้นำ" เหมือนกรณีดาวิดที่ไม่แตะต้องซาอูล ให้เชื่อฟังผู้นำอย่างเดียว แล้วให้ผู้นำรับผิดชอบส่วนตัวกับพระเจ้าเอง สมาชิกไม่มีสิทธิก้าวล่วงผู้นำ  หรือถ้าสมาิชิกทำผิด จะมีการลงโทษลงวินัย แต่ถ้าผู้นำทำผิดเรื่องเดียวกัน จะไม่มีการลงโทษ หรือโทษจะเบากว่า หรือไม่ก็มีการช่วยกันปกปิด  (ดังที่กำลังเป็นข่าวดังทั่วโลก)
       นอกจากนี้ จะมีการสร้างค่านิยมว่าการได้ใกล้ชิดผู้นำถือเป็นสิทธิพิเศษ เป็นพรพิเศษ คนที่ทำประโยชน์ให้คริสตจักรมากจะได้ใกล้ชิดผู้นำมากกว่าคนที่ทำประโยชน์น้อย


2. ชีวิตถูกควบคุมโดยผู้นำและระบบคริสตจักรแบบเบ็ดเสร็จ  ชีวิตของสมาชิกอยู่ใต้การควบคุมดูแลของผู้นำและ/หรือบุคคลที่ผู้นำมอบหมายมาเป็นลำดับขั้น โดยแทบไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง ทั้งยังมีการตั้งกฏระเบียบที่ควบคุมชีิวิตส่วนตัวของสมาชิกในรายละเอียดมาก  เช่น จะใช้เวลาอย่างไร จะใช้เงินอย่างไร จะคบใครไม่คบใคร และ่ระบบคริสตจักรสามารถตามไปควบคุมในรายละเอียดได้ทั้งหมด และต้องเปิดเผยชีวิตแทบทุกส่วนต่อคริสตจักร เช่น รายรับรายจ่าย เงินในบัญชี การถวายทรัพย์ก็ต้องแจ้งตัวเลข ประวัติชีวิตทุกอย่างต้องแจ้งรายละเอียด ทำผิดอะไรต้องสารภาพอย่างเปิดเผยทั้งหมด   เก็บเป็นเรื่องส่วนตัวที่บอกเฉพาะกับพระเจ้าไม่ได้   และต้องสารภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ให้รู้สึกผิดเสมอๆ และไม่เคยดีพอ   จะทำอะไรต้องได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นการเลือกงาน มีแฟน แต่งงาน ฯลฯ   ปัจจุับันมักมาในรูปของคำสอนเรื่องการปกคลุมฝ่ายวิญญาณ (Covering) ว่าต้องพึ่งผู้นำทุกเรื่องต้องปรึกษาทุกเรื่อง และต้องเชื่อฟังทุกเรื่อง จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปเลย! 

3. ดึงสมาชิกให้ออกห่างจากครอบครัวและสังคมเพื่อนฝูงเดิมๆ มาอยู่แต่กับคริสตจักรนี้  กิจกรรมต่างๆ พี่เลี้ยง และกฎระเบียบ จะดึงเขาให้ออกจากสังคมเดิมทีละน้อยๆ จนชีวิตมีแต่กิจกรรมและเพื่อนในคริสตจักรนี้เท่านั้น จนถอนตัวก็ไม่ได้เพราะขาดจากสังคมเดิมไปแล้ว  เหลือแต่สังคมนี้เท่านั้น เรื่องนี้ยังรวมไปถึงห้ามคบพี่น้องคริสตชนต่างคริสตจักรหรือต่างคณะ หรือห้ามทำความรู้จักกับผู้นำของคริสตจักรอื่น

4. สมาชิกถูกปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ไม่ให้เสรีภาพในการรับรู้ การคิด การตัดสินใจ และการสื่อสาร ถูกปกปิดทั้งข้อมูลภายในและภายนอก ข้อมูลเกียวกับการบริหารภายในหรือข้อมูลการเงิน สมาชิกไม่ค่อยมีโอกาสได้รับรู้ และีมีส่วนร่วม   ขอดูขอตรวจสอบไม่ค่อยได้   นอกจากนี้ ข่าวสารภายนอกก็ถูกปกปิดด้วย มักจะห้ามหรือไม่สนับสนุนให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารหรือแนวคิดของสังคมโลกหรือสังคมคริสตชนอื่นๆ จะให้รับรู้ข้อมูลที่ออกมาจากทางคริสตจักรและผู้นำเท่านั้น หรือมิฉะินั้นก็ต้องได้รับอนุญาตจากทางคริสตจักรก่อนจึงจะไปรับรู้ได้ รวมทั้งห้ามไปร่วมนมัสการที่อื่น ห้ามฟังเทศน์ของนักเทศน์อื่น ห้ามอ่านหนังสือของที่อื่น ที่ไม่ได้ผ่านการรับรองจากทางคริสตจักรหรือผู้นำ

5. เน้นการเชื่อในผู้นำโดยไม่เปิดให้มีส่วนร่วม    มักเ้น้นให้เืชื่อผู้นำเท่านั้น ไม่เน้นให้มีการคิด การซักถาม การอภิปราย หรือแม้แต่การโต้แย้ง ถือว่าทุกอย่างที่ผู้นำพูดล้วนแต่ได้รับการสำแดงมาจากพระเจ้าโดยตรง โดยห้ามซักถาม    ไม่ตอบคำถามอย่างเปิดเผย   ไม่ชี้แจง  นิ่งเงียบให้ผู้คนลืม  และไม่ยอมให้คิดแตกต่าง

6. เน้นให้สมาชิกรับใช้ตามนโยบายของผู้นำอย่างเต็มที่โดยมองข้ามหน้าที่รับผิดชอบอื่นๆในชีวิต    การรับใช้อย่างเต็มที่จะรวมทั้งด้านการอุทิศเวลาและการถวายทรัพย์อย่างเต็มที่โดยไม่ได้สนใจถึงความรับผิดชอบด้านอื่นๆ ที่บุคคลนั้นต้องทำอย่างสมดุล การถวายทรัพย์มักถูกถือเป็นการรับใช้ที่สูงเด่นเหนือการรับใช้อื่นๆ เช่นถือว่าการถวายสิบลดสำคัญกว่าการเป็นพยาน หรือการพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดี และนั่นก็มักรวมไปถึงว่าสมาชิกที่มีฐานะดี ถวายทรัพย์ได้มากก็มักจะได้รับการต้อนรับดูแลเป็นพิเศษเหนือกว่าผู้ที่ฐานะไม่ดี หรือใครที่ทำประโยชน์ให้กับคริสตจักรได้มากก็จะถูกถือว่าดีกว่าคนที่รักพระเจ้าแต่ทำประโยชน์ให้คริสตจักรได้น้อย  เน้นให้สมาชิกรู้สึกว่าการร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์สำคัญกว่าทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่เรื่องอื่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อฟังพระเจ้ารับใช้พระเจ้าเหมือนกัน

อนึ่ง เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่า การร้อนรนในการรับใช้เป็นเรื่องดี รับใช้สุดชีวิตเป็นเรื่องดี แต่ต้องทำด้วยความสมดุล ว่าหน้าที่รับผิดชอบด้านอื่นต้องทำด้วย และต้องทำโดยมุ่งรับใช้พระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะถูกครอบงำโดยผู้นำ ด้วยกลไกทางจิตวิทยา สุดท้ายแทนที่จะรับใช้พระเจ้ากลายเป็นรับใช้ผู้นำไป

เล่มนี้ชื่อ "สมาชิกของ
คริสตจักรที่เป็นอันตราย"
และที่น่าคิดด้วยคือ บางครั้งผู้นำให้สมาชิกอุทิศชีวิตทุ่มเทการรับใช้ในการรับใช้  ในขณะที่ตนเองไม่ได้อุทิศในระดับเดียวกัน หรือไม่ได้ให้คนในครอบครัวของตนเองทำในระดับเดียวกัน

7. เน้นที่การทำผลงานตามนโยบายของผู้นำจนมองข้ามการยึดหลักคำสอนและหลักจริยธรรมที่ถูกต้อง คริสตจักรประเภทนี้มักจะเน้นการเิกิดผลเชิงปริมาณมาก ซึ่งในด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องดี และไม่ได้ผิดอะไร แต่มีปัญหาเมื่อเน้นมากจนถือว่าใช้วิธีอะไรก็ได้ ซึ่งหลายๆ วิธีเหล่านั้นผิดต่อหลักคำสอนที่ถูกต้องของพระคัมภีร์ และผิดหลักจริยธรรมด้วย ตัวอย่างเช่น รับใช้จนทิ้งการเรียนการทำงานที่มีอยู่ ยอมเลิกงานเร็วกว่าปกติเพื่อไปทำกลุ่มเซลล์เป็นเรื่องสำคัญโดยไม่สนใจว่าจะเป็นการขโมยเวลางานอย่างไร หรือสร้างความเสียหายต่อนายจ้างอย่างไร  หรือชี้นำสมาชิกให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรมเพื่อผลประโยชน์ของผู้นำหรือคริสตจักร

8. เน้นให้ตอบสนองนโยบายของผู้นำโดยมองข้ามสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ต่อตัวสมาชิกแต่ละคนเอง แม้ว่าสมาชิกรู้สึกว่าตนเองมีนิมิตอะไรจากพระเจ้า หรือมีภาระใจเรื่องอะไร หากไม่สอดคล้องกับนโยบายของผู้นำ ก็ไม่สามารถไปทำได้   เรื่องนี้ยังรวมถึง การที่ผู้นำมักไม่ส่งเสริมสมาชิกให้มีโอกาสพัฒนาและเติบโตไปจนสุดศักยภาพของแต่ละคน  แต่จะพยายามให้ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ตนเองไปเรื่อยๆ  ไม่มีโอกาสเติบโตไปไกลกว่าหรือไปสูงกว่าตัวผู้นำหรือแยกไปเป็นอิสระจากผู้นำ  หรืออาจพูดง่ายๆ ว่าห้ามโต หรือห้ามโตกว่า หรือห้ามโตไปเป็นอิสระ

9. สมาชิกต้องถูกผูกมัดเป็นลูกแกะของผู้นำตลอดไป  แนวคิดเรื่อง "ลูกแกะของผู้เลี้ยง" "ลูกแกะ-แม่แกะ" "พ่อฝ่ายวิญญาณ-ลูกฝ่ายวิญญาณ" "พี่เลี้ยง-น้องเลี้ยง" จะถูกใช้มาก แต่ไม่ได้เน้นในแง่ความรับผิดชอบของผู้เลี้ยงที่ต้องเสียสละ แต่จะเน้นให้ผู้ำถูกดูแลรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นสมบัติของ "ผู้เลี้ยง" "พ่อ-แม่ฝ่ายวิญญาณ" "พี่เลี้ยง" และต้องอยู่ใต้สิทธิอำนาจของบุคคลเหล่านี้ทุกอย่าง และต้องผูกมัดไปอย่างนี้ชั่วชีวิต ไม่อาจหลุดจากพันธะนี้ได้ จาก "พันธสัญญา" กลายเป็น "พันธนาการ" ไป!

10. เน้นว่าคริสตจักรและผู้นำที่นี่ถูกต้องที่สุดเหนือคริสตจักรอื่น  หรือโดดเ่ด่นเหนือคริสตจักรอื่น เ่ช่นที่นี่สอนดีที่สุด สอนถูกที่สุด มีฤทธิ์เดชที่สุด ศิษยาภิบาลเป็นอัครทูตคนเดียว เป็นผู้เผยพระวจนะแท้เพียงคนเดียว ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเน้นให้สมาชิกภูมิใจในคริสตจักรตนเองและผู้นำตนเอง และเกิดความภักดีมากๆ เชื่อฟังมากๆ และจะไม่กล้าจากไปไหน

11. มีการผูกมัดจนเกินขอบเขต   เช่น คริสตจักรในสมัยปัจจุบันมีความนิยมมากขึ้นที่จะให้สมาชิกต้องมีการทำพันธสัญญาเพื่อจะมีความภัำกดีและมีการอุทิศตัว (Commitment) อย่างสูงต่อคริสตจักร จนเกิดธรรมเนียมมีการเซ็นต์พันธสัญญา (Covenant) กับผู้ำนำหรือคริสตจักรที่มีลักษณะผูกมัดมาก  ซึ่งบางทีเนื้อหาพันธสัญญาหากสังเกตดีๆ อาจพบเนื้อหาที่เรียกร้องและผูกมัดอย่างไม่ถูกต้อง หรือผูกมัดจนบุคคลนั้นสูญเสียอิสรภาพที่มนุษย์พึงมี และผูกมัดเกินคำสอนของพระคัมภีร์

12. แม้ว่าจะดูยึดถือพระคัมภีร์มาก แต่การใช้พระคัมภีร์ก็มักมีการบิดเบือนผิดหลักวิชาการตีความหมายพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง  โดยมักจะตีความพระคัมภีร์และประยุกต์ใช้พระคัมภีร์เข้าข้างผู้นำและนโยบายคริสตจักรตนเสมอ โดยไม่คำนึงถึงความหมายที่แท้้จริงตามบริบทของพระคัมภีร์และภาพของคริสตจักรสากล หรือพูดได้อีกนัยหนึ่งว่า ใช้พระคัมภีร์เป็นเครื่องมือในการสร้างสิทธิอำนาจของผู้นำและคริสตจักรของตน (เนื่องจากเรื่องนี้ซับซ้อนและต้องใช้ความรู้ทางวิชาการมาก คงต้องขอข้ามรายละเอียดไป ใครสนใจเรื่องนี้ลองไปอ่านบทความเรื่อง "ใช้พระคัมภีร์อย่างไรไม่ให้ผิดพลาด" ปัญหาเรื่องการตีความพระคัมภีร์เข้าข้างตัวเองเป็นปัญหาพื้นฐานของคริสตจักรเสมอมา)

เล่มนี้ชื่อ "พระวจนะที่ถูกบิดเบือน :
เส้นทางสู่การเป็นไทจากคริสตจักรอันตราย


13. ใช้ความกลัวในเรื่องสิ่งลี้ลับมาผูกมัดผู้คนอย่างไม่เหมาะสม    ทั้งๆ ที่หลายอย่างเป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ เช่นผู้นำใช้การอ้างการสำแดงของพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ที่มีต่อเขาโดยตรงมาจูงใจมวลสมาชิกให้ต้องทำตามสิ่งที่ตนชี้นำ ทั้งๆ ที่ผู้คนอาจไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ต้องจำยอมเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำผิดต่อพระเจ้า หรือผู้นำขู่ว่าถ้าไม่ทำตามเขาก็เท่ากับต่อสู้กับพระเจ้า เพราะเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ให้เป็นผู้นำของคริสตจักร   พระเจ้าจะเทพรจากข้างบนลงมาที่ผู้นำก่อน ใครที่สนับสนุนผู้นำก็จะได้รับพรตามไปด้วย อะไรทำนองนี้

เล่มนี้ชื่อ "คริสตจักรที่เป็นพิษ :
การฟื้นสภาพจากการถูกทำร้าย
ทางจิตวิญญาณ
14. การไม่เชื่อฟังคริสตจักรหรือผู้นำจะถือว่าเป็นความผิดที่รุนแรง และมีโทษที่รุนแรง   การบอกว่าสมาชิกทำผิดก็ไม่มีกระบวนการให้ความยุติธรรม ไม่ให้อีกฝ่ายชี้แจงอย่างเปิดเผย  และการลงโทษก็มักจะรุนแรงมากซึ่งแม้อาจไม่ใช่โทษทางกายแต่ก็เป็นโทษที่มีผลทางความคิดและอารมณ์มาก  เช่น การไม่ทำตามนโยบายของผู้นำหรือคริสตจักร ถือเป็นบาป ถูกสาปแช่ง ถูกขู่ให้เกิดความหวาดกลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษหรือจะไม่อวยพร ถูกทำให้รู้สึกผิดว่าเขาได้ทำผิดต่อพระเจ้า ต่อผู้รับใช้ หรือต่อคริสตจักร ถูกตำหนิทั้งส่วนตัวและต่อหน้าผู้อื่น ถูกประนามว่าเป็นกบฏ ถูกโดดเดี่ยวจากมวลสมาชิก   ถูกห้ามพบปะกับเพื่อนสมาชิกอื่นๆ หรือสมาชิกคนอื่นถูกห้ามไม่ให้คบหาด้วย  หรือถูกทำให้ต้องอับอาย  ถูกลดระดับชั้น  ถูกกล่าวถึงอย่างเสียหายต่อหน้าหรือลับหลัง ฯลฯ   ผลก็คือ ความเครียด ความกังวล หวาดกลัว โศกเศร้า  รู้สึกผิด  สูญเสียความสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่รักผูกพันกัน  อับอาย  ฯลฯ

15. การออกจากคริสตจักรถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงมากที่สุด  ผู้ที่ออกไป แม้ไม่ใช่เพราะหลงหาย  หรือออกไปยังคริสตจักรอื่น  หรือไปทำพันธกิจอื่น ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำเดิม  บุคคลนั้นก็มักต้องถูกตัดความสัมพันธ์จากทั้งคริสตจักร ถูกทำให้รู้สึกผิด หวาดกลัว  เจ็บปวด     การจะออกจากคริสตจักร แม้ว่าจะออกไปด้วยเหตุผลที่ชอบธรรม จะถูกถือว่าเป็นคนบาป เป็นกบฏ  เนรคุณ อกตัญญูต่อพ่อฝ่ายวิญญาณ ฯลฯ   หรือมักถูกใส่ความว่าทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งที่ไม่จริง (หรือจริงไม่หมด) เพื่อทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งกับสังคมภายในคริสตจักรนั้นและในวงสังคมคริสเตียนทั่วไปด้วย จนเพื่อนๆ ในคริสตจักรก็เลิกคบหรือไม่กล้าคบหรือถูกห้ามไม่ให้คบ จะไปเข้าคริสตจักรอื่นก็แทบไม่ได้ รับใช้กับคริสตจักรอื่นก็แทบไม่ได้ จะตั้งคริสตจักรใหม่ก็แทบไม่ได้อีก คริสตจักรประเภทนี้บางแห่งบอกว่า "เกิดที่ไหนต้องตายที่นั่น"  บ้างก็บอกว่าใครออกจากคริสตจักรเท่ากับ "หักพันธสัญญา"  บ้างก็บอกว่าถ้าใครออกไปจะ "หยุดการอธิษฐานเผื่อ" ซึ่งจะทำให้พระเจ้าไม่อวยพร ฯลฯ

เล่มนี้ชื่อ "อำนาจเจ้าเล่ห์แห่งการทำอันตรายทางจิตวิญญาณ :
การสังเกตและหนีออกจากการหลอกใช้ทางจิตวิญญาณ
และการใช้สิทธิอำนาจแบบผิดๆ ที่มีตามคริสตจักร
16. มักเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว วัย 18 ถึง 25 เนื่องจากคนวัยนี้พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ และกำลังแสวงหาคุณค่าบางอย่างที่ตนเองจะอุทิศตัวให้อย่างเต็มที่

17. การเปลี่ยนผ่านผู้นำสูงสุดก็มักจะเป็นในหมู่เครือญาติหรือคนใกล้ชิด   เช่น พ่อส่งต่อตำแหน่งให้ลูก หรือให้ภรรยา หรือญาติ หรือเขยสะใภ้  และผู้นำสูงสุดมักเป็นผู้กำหนดเอง  ไม่ได้ให้มวลสมาชิกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ  จนกระทั่งเป็นเสมือนกิจการส่วนตัว


รายงานทั้งหลายเหล่านี้แนะนำว่า หากเราอยู่ในคริสตจักรที่มีลักษณะแบบนี้ขอให้ระมัดระวัง และหากหาจังหวะออกมาได้ควรออกมาเสียดีกว่า เพราะการอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ความคิดและบุคคลิกภาพของเราจะซึมซับและถูกครอบงำลงลึกมากขึั้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วในที่สุดก็เกินจะแก้ไข จนกระทั่งเกิดปัญหาขึ้นในชีวิต ซึ่งแม้ภายหลังออกมา อาการของปัญหาก็ยังมักจะคงอยู่ หลายคนถึงขั้นต้องรับการบำบัดหรือเยียวยาจิตใจกันอีกพักใหญ่ ตัวผู้เขียนเองมีลูกศิษย์หลายคนทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เคยอยู่ในคริสตจักรประเภทนี้ เห็นอาการที่เกิดกับพวกเขาแล้วก็ได้แต่เศร้าใจไปด้วย ในบางวิชาผู้เขียนลองให้บางคนเหล่านี้เขียนเป็นเรื่องราวออกมาในหน้ากระดาษเอสี่ส่งมาเป็นรายงาน พออ่านเพื่อตรวจให้คะแนนก็กลายเป็นว่าตรวจไปร้องไห้ไป!

และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น อยากให้ท่านผู้อ่านลองอ่านรายงานสั้นๆ ชิ้นหนึ่งของนักศึกษาคนหนึ่งของผู้เขียน ซึ่งต้องขออนุญาตปิดชื่อจริงของทุกฝ่าย (และข้อมูลบางเรื่อง)   เพราะไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด หวังเพียงเป็นการให้ข้อคิดและประโยชน์ในเชิงวิชาการเท่านั้น

*****************************

ชีวิตการรับใช้กับคจ.X ของข้าพเจ้า
เรื่องจริงเขียนโดยคุณ กศ.
 
เมื่อข้าพเจ้ารับเชื่อที่คจ.X ได้ 3 เดือน ข้าพเจ้าได้ถูกมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยง และได้ประกาศนำคนมารับเชื่อ แล้วก็ได้เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่ ในปีถัดมา ผมก็ถูกผู้นำแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเซลล์

ช่วงนั้นนโยบาย คจ.X ต้องการขยายคริสตจักรให้คนมากที่สุด เราเลยต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะนำคนมา คจ. จึงออกนโยบายเพื่อจูงใจโดยจัดให้มีการแข่งขันผู้นำดีเด่นในแต่ละดับชั้น
นโยบายที่ทาง คจ.X ออกมา คือ 1 .ให้ทุกคนนำหนึ่งคนมาเป็นอย่างน้อยในหนึ่งสัปดาห์ 2. ให้ทุกคนอภิบาลคนสำหรับพี่เลี้ยงอย่างน้อย 1 คน หัวหน้าเซลล์อย่างน้อย 3 คน หัวหน้าหน่วยอย่างน้อย 5 คนต่อ 1 สัปดาห์ 3. ต้องรายงานต่อผู้ช่วยหัวหน้าส่วนทุกฯสัปดาห์ ถ้าคนไหนท่าทีดีผู้ช่วยหัวหน้าส่วนจะเข้าไปใช้เวลาด้วย 4. จัดมีการอบรมสัมมนาทุกๆ สัปดาห์สร้างผู้นำ
 
ในปีถัดมาข้าพเจ้ามีคนอยู่ในความดูแล 20-30 คน ข้าพเจ้าจึงได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยมีอยู่ 5 เซลหรือแคร์ หัวหน้าหน่วยเป็นหน่วยปฏิบัติการใน คจ.X เพราะจะเป็นคนลงพื้นที่ที่รับผิดชอบ 
หน้าที่หัวหน้าหน่วยมีหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูหัวหน้าเซล 5 คนและพี่เลี้ยงที่ท่าทีดีอีก 2-3 คนในหนึ่งสัปดาห์ และมีหน้าที่ติดตามผลผู้เชื่อใหม่ด้วย 
ตอนที่ผมเป็นหัวหน้าหน่วยผม เริ่มมีชีวิตที่ไม่สมดุลแล้วเพราะไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย และไม่มีเวลาที่จะเข้าหาพจ.ส่วนตัวจริงๆ ฉะนั้นถึงตำแหน่งในการรับใช้จะสูงขึ้นแต่จิตวิญญาณกลับถดถอยเพราะโปรแกรม คจ. แน่นเอี๊ยด ผมเชื่อว่ามีคนมากมายใน คจ.Xที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอนุชน ซึ่งพวกเขาอาจจะมีท่าทีแข่งขันกันใน คจ. ซึ่งเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็ต้องไปเข้ากลุ่มโปร (คือกลุ่มคนทำงาน) แล้วทัศนคติของพวกเขาที่ให้กับพจ.ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เริ่มถอยในการรับใช้ เนื่องจากความไม่เข้าใจในการรับใช้พจ.อย่างถูกต้อง ฉะนั้น หลายคนที่ในอดีตเคยทุ่มเทรับใช้พจ. จึงมีเหลือน้อยคนมากที่ยังรับใช้อยู่ในตอนนี้ (หรือยากที่มีใครรับใช้ในระยะยาว) 
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้ว คจ.X ก็จะเน้นไปที่กลุ่มอนุชน เพราะกลุ่มอนุชนสร้างแรงเหวี่ยงได้มาก 
ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ผมเกิดความรู้สึกและคำถามขึ้นมาในใจว่า ทางคจ. เน้นสถิติมากเกินไปหรือเปล่า หรือผมก็คิดว่าผมเองอาจจะคิดผิด หรือคิดไปเองคนเดียว แต่เมื่อผมถามเพื่อน เขาก็เปิดเผยว่าเขาก็คิดเหมือนผมเช่นกัน 
อย่างไรก็ตาม ในปี 1992 ผมตัดสินใจเรียนพคภ.ที่ คจ.X เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองให้ถูกต้อง โดยเรียนหลักสูตรเตรียมสาวก 4 เดือน และต่อหลักสูตรเตรียมผู้รับใช้อีก 4 เดือน แล้วก็ต่อหลักสูตรระดับปริญญาตรีอีก 2 ปี แต่ผมเรียนไม่จบ ต้องพักการเรียนไว้ก่อน

ต่อมาในปี 1993 ทาง คจ.Xก็มอบหมายให้ผมรับผิดชอบเป็นหัวหน้าแขวงซึ่งรับผิดชอบคนมากขึ้น ประมาณ 60 คน ตอนนั้น ผมรับผิดชอบงานรับใช้มากขึ้น แต่จิตวิญญาณของผมกลับตกต่ำลงเพราะไม่มีเวลาส่วนตัวกับพจ.เลย มีแต่โตตามระบบของคจ.X
 
ผมเริ่มอยากจะเปลี่ยนสถานที่ในการรับใช้ เพราะอาจจะดีขึ้นในเรื่องจิตวิญญาณของตนเอง พอดีมีผู้นำเรียกออกไปรับใช้ที่จังหวัดหนึ่งเพราะใกล้ปี 2000 แล้ว ขณะนั้น คจ.X มีนิมิตใหญ่คือต้องมีคจ.Xให้ถึงจำนวน.....แห่ง ซึ่งการที่คจ.Xสอนเสมอว่าต้องเชื่อฟังผู้นำ ผมจึงออกไปรับใช้ที่นั่น 2 ปี 
ช่วง 2 ปีนั้นเป็นช่วงที่ลำบากมากสำหรับผม เพราะตอนแรกคิดว่าคจ.แม่จะช่วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีสมาชิกที่อยู่ที่นั่นประมาณ 7-8 คน แต่ละคนก็ไม่ได้ถวายสิบลดสัตย์ซื่อ แต่เนื่องจากมีเพื่อนขึ้นไปช่วยประจำ 2 คนก็รวมเป็น 9 คน มีเงินถวายเดือนละพันกว่าบาท รถก็ไม่มีให้ ผมต้องซื้อมอเตอร์ไซค์ 2 คัน ขี่วิ่งรอกทุกอำเภอทั้งหมดมี 18 อำเภอ โดยวันพุธกับวันอาทิตย์จะต้องอยู่ที่ตัวอำเภอเมืองเพื่อทำกลุ่มเซลล์กับคจ. วันอาทิตย์ ส่วนในวันจันทร์ อังคาร พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ก็ต้องขี่มอเตอไซค์ไปไกลถึงวันละประมาณ 3-4 อำเภอ ซึ่งบางอำเภอก็อยู่ไกลถึง 100 กว่ากิโลเมตร ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท แต่มีรายรับพันกว่าบาท 
ช่วง 2 ปีที่ผมอยู่นั้นก็ไม่ได้เกิดผลอะไรมากมาย เพราะขาดปัจจัยหลายอย่าง ตอนที่ผมส่งต่องานนั้น ในอำเภอเมืองมีสมาชิก 22 คน ต่างอำเภอทั้งหมด 17 อำเภอ มีสมาชิกรวมกันไม่เกิน 30 คน 
หลังจากนั้นผมก็กลับกรุงเทพ มารับใช้ที่คจ.Xในกรุงเทพ โดยรับใช้ในกลุ่มโปร
แต่ จากนั้นไม่นานผมก็หลงหายเพราะธุรกิจล้ม ผมหลงหายอยู่นานถึง 8 ปี แต่ถึงกระนั้น ต่อมาผมก็ได้นิมิตจากพจ. ผมก็เลยหันกลับมาหาพจ.ได้ 2 ปี และเริ่มรับใช้ใหม่อีกครั้ง...ด้วยตนเอง
 
ตอนที่ผมอยู่คจ.Xนั้นมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ผมทำไปนั้น เป็นการทำเพื่อพจ. ซึ่งนั่นทำให้ผมทุ่มเทมากในแต่ละวัน แต่ก็มีความรู้สึกว่าเป็นภาระและงานรับผิดชอบมากกว่า ไม่ได้ใกล้ชิดติดสนิทกับพจ. ทำให้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมีแต่ฮึกเหิมภายนอกเท่านั้น แต่ภายในกลวงมากและพร้อมที่จะหลงหายทุกเมื่อ 
แต่ผมยอมรับคจ.Xในสิ่งหนึ่งคือ ความทุ่มเทเสียสละและความภักดีและการเชื่อฟังสูงมาก ทำให้แม้ผู้นำทำผิดก็ยังบอกว่าถูก สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาทำให้ติดนิสัยภักดีต่อผู้นำอย่างมาก แม้จะไม่เข้าใจผู้นำก็ตามที 
แรก ๆ ผมเข้าใจผิดคิดว่าคจ.Xเป็นคจ.ที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพราะมีการเติบโตเร็วที่สุด แต่เราก็ทำงานหนักจริง ๆ จนเกิดกระแสผู้ปกครองนักเรียนต่อต้าน ก็เลยปรับกิจกรรมให้น้อยลงเรื่อย ๆ และในเขตผมมีการแต่งตั้งหัวหน้าเขตมาจากสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ปกครอง ทั้ง ๆ ที่ท่าทีผิดกับพจ.อย่างมากที่เห็นแก่สถิติมากกว่าดวงวิญญาณ เห็นคนเข้ามาส่งก็จะนับเป็นสถิติทำไมก็ไม่รู้ ก็ได้แต่เชื่อฟังผู้นำ 
ในสมัยที่ผมอยู่ในคจ.Xผมก็ไม่รู้จักกับคจ.อื่นเลย เพราะมีการปิดกั้นข่าวจากคต.และคจ.อื่นๆ ภายนอก มีแต่การจัดสัมนาที่โบสถ์ ผมและสมาชิกอื่นๆ จึงไม่เคยได้ยินข่าวสารจากวงการคต.ข้างนอกเลย ตลอด10กว่าปีถูกสอนตลอดให้เข้าใจว่า คจ.Xเป็นคจ.ที่ดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปไหน แต่หลักข้อเชื่อก็เหมือนกับโบสถ์อื่นๆ และการอภิบาลของคจ.ดูแล้วเข้มข้นมาก เลยเขาถูกปลูกฝังให้ทำงานหนัก รับผิดชอบอย่างดี โดยบางคนไม่มีเวลาก็ถูกท้าทายให้รับผิดชอบงานต่างๆ 
ส่วน ใหญ่ในคจ.Xจะเน้นการขยายของกลุ่มอนุชนเพาะสร้างแรงเหวี่ยงได้ดี ส่วนกลุ่มโปรจะเน้นการถวายทรัพย์ และผู้ช่วยหัวหน้าส่วนจะดูแลหัวหน้าเขต ส่วนหัวหน้าเขตจะดูแลหัวหน้าแขวง หัวหน้าแขวงถือว่าเป็นผู้บริหารระดับกลาง ดูแลหัวหน้าหน่วยและหัวหน้าแคร์ และส่วนใหญ่เขาจะเน้นการดูแลอนูชนเป็นหลัก 
ส่วนโครงสร้างนั้นจะดูแลกลุ่มคนคล้าย บวกกับหลักภูมิศาตร์ เพื่อจะดูแลได้ง่ายขึ้น เพราะจะเป็นไปตามกลุ่มคนคล้าย และการเดินทางก็จะง่ายขึ้น และก็จะดูแลได้ทั่วถึง สรุปก็คือเช่นในเขตสัมพันธวงค์ ก็จะมีกลุ่มโปร กลุ่มบ้าน กลุ่มสถาบัน เพื่อจะได้ง่ายต่อการดูแลและการเดินทาง และจะทำให้สามารถเข้ากับกลุ่มคนแต่ละกลุ่มได้ 
อย่างไรก็ตาม เขาจะเน้นความจงรักภักดีและการไว้ใจผู้นำเชื่อใจผู้นำเป็นหลัก แม้ผู้นำจะสั่งการอะไรก็ตาม และมีการใช้เงินของคจ.Xไปในทางไม่ถูกต้องโดยปกปิดบัญชีทุกอย่าง
ส่วนการอภิบาลเขามีโครงสร้างและระบบที่ดีมาก ทำให้สามารถดูแลสมาชิกได้อย่างทั่วถึง มีการปกครองเป็นระดับชั้น ด้านการพัฒนาคนเขาก็มีโครงสร้างการอบรม การสัมมนาบ่อยๆ เพื่อพัฒนาสู่การรับใช้ ด้านการเพิ่มพูนคริสตจักรเขาก็ทำได้ดีมาก มีโครงการประกาศ 1 นำ 1 ภายใน 1 สัปดาห์ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มอนุชนทำเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีแรงเหวี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นใด


*******************

ท่านผู้อ่านคงเห็นว่า สิ่งที่นักศึกษาผู้นี้เขียนมานี้ช่างตรงกับรายงานข้างต้นมากจริงๆ และโปรดอย่าเข้าใจว่านี่หมายถึงคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งเท่านั้น นักศึกษาส่งรายงานแบบนี้มาหลายคน เล่าเรื่องคล้ายๆ กัน แต่มาจากต่างที่กัน ก็เลยทำให้ทราบว่า ทุกวันนี้นโยบายลักษณะนี้มีใช้กันทั่วไปในหลายๆ ที่

แต่ก็น่าสนใจด้้วยคือ มีนักศึกษาบางคนเหมือนกันที่ยังอยู่ในคริสตจักรแบบนี้  บางคนบอกว่าของเขาเป็นคริสตจักรแบบนี้ แต่เขาก็บอกว่าคริสตจักรที่เขาอยู่ที่นี่แหละดีที่สุด ถ้าไม่มีคริสตจักรแบบนี้ เขาคงหลงหายจากพระเจ้าไปแล้ว!  ก็น่าคิดเหมือนกัน!

อย่างไรก็ตามก็ต้องบอกว่า รายงานข่า่วต่างๆ บ่งชี้ว่า ทุกวันนี้ประเทศต่างๆ เริ่มกลัวคริสตจักรประเภทนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ  ในยุโรป มีการประท้วงและตรวจสอบคริสตจักรคาทอลิกกันขนานใหญ่ โดยเฉพาะกรณีเรื่องการที่ผู้นำมีการล่วงละเมิดทางเพศ    ส่วนในฟากโปรเตสแต๊นท์ ในสหรัฐ สภามีการตั้งกรรมาธิการตรวจสอบคริสตจักรโดยเฉพาะพวกเมก้าเชิร์ช หรือคริสตจักรขนาดใหญ่ๆ และนักเทศน์ทางทีวีที่มีชื่อเสียง  โดยเฉพาะในเรื่องการเงินถวาย  ในอเมริกาใต้ก็เริ่มมีการตรวจสอบ ในสิงคโปร์ ก็เริ่มมีการตรวจสอบคริสตจักรขนาดใหญ่  โดยเฉพาะคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ด้วย   ทางราชการสิงคโปร์มีระเบียบว่าการเทศนาต้องมีการอัดเทปทุกครั้ง เพื่อให้ทางการตรวจสอบ

ข้อเขียนหลายชิ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ระบุว่า จากเดิมที่คริสตชนเคยกลัวลัทธิเทียมเท็จ ทุกวันนี้อาจต้องบอกว่า ลัทธิเทียมเท็จที่เคยกลัวกันนั้น ทุกวันนี้อาจไม่น่ากลัวเท่าไหร่แล้ว...

ว่ากันว่า Abusive Church หรือ คริสตจักรอันตราย น่ากลัวกว่า!!!

สวัสดี


-------------------------------
ส่วนหนึ่งของแหล่งข้อมูลที่มีมากมาย

60 ความคิดเห็น:

  1. น่ากลัวจริงๆครับ คิดถึงบางชื่อคริสตจักรที่เพิ่งเกิดเรื่องโด่งดัง ในเมืองไทยขึ้นมาจริงๆด้วย เหมือนทุกประการ

    ตอบลบ
  2. น่าชื่นชมสำหรับคนที่ตั้งใจครับอย่างตัวอย่าง ที่ยกขึ้นมา เขาทำเต็มที่ น่าชื่นชม ผมเชื่อว่าบำเน็จเป็นของเขา แต่ถ้าเขาคิดไม่ถูกกับงานรับใช้ บาปก็หมอบอยู่ที่ประตูครับ
    ปล เปาโลก็ลำบากอย่างงี้แหล่
    ชื่นชมคนรับใช้

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ19 สิงหาคม 2554 เวลา 17:08

    คริสตจักรในยุคสุดท้ายมีอยู่ 2 ประเภทคือคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ตายบนกางเขนและฟื้นจากความตาย และยังทรงพระชนม์อยู่ และคริสตจักรของหญิงแพศยา วว.17
    การจะนับว่าคจ.ใดเป็น Abusive church ต้องดูที่หลักการความเชื่อ หลายคจ.ที่สอนเรื่องล้ม หรือ หัวเราะ ในพระวิญญาณ สอนผิดมั้ย หรือเป็น Abusive มั้ย
    ยังยืนยันว่าการพิพากษาเป็นของพระเจ้า เราต้องไปรายงานส่วนของเราแต่ละคนกับพระเจ้า พระเจ้าจะเปิดเผยความลี่ลับทั้งปวงเอง ถ้าเขาไม่สอนผิดเพี้ยนไป จากหลักการความเชื่อ ที่พระเจ้าวางไว้ เราจะนับเขาเป็นพวกอันตรายได้อย่างไร
    ทำไมคริสเตียนไทยยังไม่ไปถึง 10% แม้ผ่านมา 200 กว่าปีแล้ว ที่คริสเตียนเข้ามาในประเทศ สาเหตอาจเป็นเพราะ เราไม่ยอมทำตามพระมหาบัญชา มธ.28 เราพยายามขัดขวางกันและกัน และมองกันแง่ลบ แทนที่คริสตจักรจะร่วมมือกัน ทำหน้าที่ของแต่ละคน มีโฟกัสที่พระมหาบัญชา พระเจ้าอาจจะถามเราว่า คริสเตียนไทยมัวทำอะไรอยู่ สิบลดความรอด ของคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าในประเทศนี้ จะรออีกกี่ปี

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ20 สิงหาคม 2554 เวลา 08:11

    แล้วคริสตจักรที่ท่านอาจารย์ร่วมรับใช้อยู่ในเวลานี้แถวลาดพร้าวอ่ะถือว่าเป็นคริสตจักรที่เป็นพิษด้วยหรือเปล่า ผู้เชื่อใหม่เพียงไม่กี่เดือนก็เอาขึ้นมาเป็นต้นเสียงแล้ว ทีมนมัสการหลายคนยังสูบบุหรี่ดื่มเหล้ากันอยู่เลย เสริมสร้างสมาชิกก็พาไปแต่มิชชั่นทีม วันอาทิตย์นมัสการ 1 ชั่วโมง ฟังพระคำและนมัสการต่ออีก 1 ชั่วโมงโดยไม่มีระบบรวีวารศึกษา สมาชิกมีแต่ความเชื่อกับประสบการณ์กับพระเจ้าแต่ไม่มีพระคำเลยอย่างนี้เป็นคริสตจักรที่อันตรายหรือเปล่า

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ20 สิงหาคม 2554 เวลา 10:04

    Sinchai กล่าวว่า...
    ในฐานะผู้เขียนบทความ กระผมต้องขอขอบคุณท่านผู้ไม่ระบุนามที่แสดงความคิดเห็นมานะครับ ต้องขออธิบายอย่างนี้ครับ คือ อยากให้ท่านแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเนื้อหาของบทความนะครับ ถ้าเราถกกันอย่างตรงประเด็น โดยมุ่งเน้นหาความจริงของหลักการ โดยละอคติ ไม่ใช้อารมณ์ หรือมุ่งทำร้ายตัวบุคคล แม้จะเห็นต่างกันในตอนแรก แต่การถกกันนี้ก็จะก่อให้เกิดการงอกงามทางปัญญาครับ และเราทุกคนก็จะจำเริญขึ้นในพระคริสต์

    อย่างไรก็ตามเรื่องคำวิจารณ์นั้นกระผมก็ยินดีน้อมรับครับ เพียงแต่ขออนุญาตอธิบายสักนิดว่า กระผมร่วมรับใช้กับคริสตจักรมากมายเหลือเกิน แต่ละสัปดาห์ไปร่วมกับคริสตจักรต่างๆ เป็นสิบแห่ง และแต่ละสัปดาห์ก็จะไปช่วยที่คริสตจักรใหม่ๆ ด้วย โดยไม่ได้ถือเป็นคณะนิกายไหนหรือสังกัดไหน เพราะปรารถนาจะเห็นการประสานพระกายและขยายแผ่นดินพระเจ้า ที่ว่าช่วยก็คือไปช่วยเทศนา สอน ก่อตั้งแห่งใหม่ ช่วยเป็นกำลังใจ และช่วยถวายทรัพย์ และส่วนใหญ่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดของการบริหารของแต่ละที่หรอกครับ เฉพาะที่ลาดพร้าวแต่ละสัปดาห์ก็ไปช่วยไม่น้อยกว่า 3-4 แห่ง ทุกแห่งที่กระผมได้ไปมีส่วนช่วยก็จะมีส่วนที่กระผมชอบมากบ้างและน้อยบ้าง แต่ก็เอาใจช่วยทุกที่เลยครับ

    กระผมตระหนักในฐานะนักวิชาการบริสุทธิ์ฺที่เพียงแต่พยายามให้ข้อมูลที่มีความเที่ยงตรงทางวิชาการสูงสุด ที่พอจะเป็นประโยชน์แก่วงการคริสตชนและสังคมไทยบ้างเท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านเกิดความระคายเคืองอะไร แต่บางเรื่องที่นำเสนอมันก็เลี่้ยงยากจริงๆ ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ20 สิงหาคม 2554 เวลา 11:20

    เห็นด้วยกับบทความของดร.ศิลป์ชัยค่ะ เพราะเคยรับใช้อยู่ในคจ.อันตรายหลายปี เรียนรู้จากประสบการณ์ว่าไม่ใช่ เน้นปริมาณ อยู่ในกรอบและระบบที่กำหนดไว้เพื่อเป้าหมายปริมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากทีเดียว จึงเป็นรูปแบบที่ดูดีมากๆ

    ไม่ขอเอ่ยถึงคุณภาพ แต่ไม่อาจปรึกษาหรือบอกเล่าแก่ใครได้ เพราะเราเป็นคต.ควรเคารพให้เกียรติกัน ได้แต่อธิษฐานขอพระเจ้าช่วยอย่างเจาะจง

    ขอบคุณพระเจ้าเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทรงเปิดตาเปิดใจหลายคนได้เห็นเช่นกัน ปัจจุบันจึงได้ออกมารับใช้ตามภาระใจ รู้สึกได้รับการปลดปล่อย ได้รับเสรีภาพ โล่งจริงๆ ได้รับใช้ประกาศและเสริมสร้างคน ขอบคุณพระเจ้า

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ21 สิงหาคม 2554 เวลา 04:44

    Manusjang กล่าวว่า...
    ตามความเป็นจริง...ทุกที่มีทั้งคนดี และคนประพฤติตัวไม่ดี ไม่ใช่ว่าคนไปโบสถ์ หรือคนที่เชื่อพระเจ้าจะเป็นคนดีทุกคน หลายคนอาจสร้างภาพให้ตนเองดูดีในสายตาผู้อื่นก็ได้ ทั้งที่ความจิงก็ทำบาปแต่ปกปิดไว้
    ผู้รับใช้ที่ท่านเห็นว่าเขาสูบบุหรี่ ดื่มเหล้านั้น ก่อนหน้าที่เขาจะรู้จักพระเจ้า ชีวิตพวกเขาแย่กว่านี้หลายเท่านัก แต่ปัจจุบันที่ท่านเห็น คือชีวิตที่เปลี่ยนไปมากแล้ว เมื่อเทียบกับอดีตที่เขาเคยเป็น (คนสูบบุหรี่ คนดื่มเหล้าใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดีเสมอไป และพระเจ้ามิได้ห้ามคนเหล่านี้รับใช้พระองค์ด้วย)

    โดยส่วนตัวคิดว่าคจ.นี้ ไม่น่าใช่คจ.อันตราย เพราะถ้าเป็นคจ.อันตราย คจ.น่าจะเติบโต มีสมาชิกมากกว่านี้หลายเท่า และระบบการทำงาน การสร้างคน การดูแลคนควรจะดีกว่านี้ ข้าพเจ้าคิดว่าคจ.นี้น่าจะเป็นคจ.ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน มากกว่าคจ.อันตราย เพราะระบบหลายอย่างยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น

    อาจารย์ท่านเป็นที่ปรึกษาให้คจ.นี้ในบางโอกาส ซึ่งท่านก็ไม่ได้เห็นชอบกับการรับใช้บางอย่างของคจ.นี้ ท่านเห็นถึงข้อบกพร่องของคจ.นี้หลายอย่างที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ซึ่งท่านก็ได้ให้คำแนะนำแนะแนวทางการบริหารคจ. และการดูแลอภิบาลคนอย่างถูกต้องให้แก่คนที่นี่แล้ว อีกทั้งพยายามผลักดัน ช่วยเหลือเต็มที่ ลงแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ไปมาก แต่น่าผิดหวังที่ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับคจ.ที่มีลักษณะด้อยมาตรฐานนี้ มีสองอย่าง คือ
    1. ตัวคจ.จะไม่เติบโต ไม่สามารถขยายคจ.ได้เต็มที่ และมีแนวโน้มที่สมาชิกจะลดน้อยลง
    2. คนในคจ. ทั้งผู้รับใช้ และสมาชิก ถ้าอยู่คจ.ลักษณะนี้ไปนานๆจะไม่เติบโต ทั้งฝ่ายจิตวิญญาณ ความรู้เกี่ยวกับพระวจนะ และการรับใช้ ไม่สามารถใช้ของประทานได้เกิดผลต่องานพระเจ้าเต็มที่

    สิ่งที่พอจะทำได้ คือ ให้คำแนะนำที่ถูกต้อง และเสริมสร้างแก่คจ. แต่ส่วนเขาจะตัดสินใจอย่างไร ก็ต้องขึ้นกับเขา และอธิษฐานเผื่อเขาน่าจะดีที่สุด มิใช่การออกความคิดเห็นเชิงลบ ไม่สร้างสรรค์

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ21 สิงหาคม 2554 เวลา 05:05

    Sinchai กล่าวว่า...
    ความจริงที่รอบด้านก็คือ คริสตจักรเทียมเท็จ (Cultic) ก็ไม่ดี คริสตจักรอันตราย (Abusive)ก็ไม่ดี คริสตจักรเฉื่อยชา (Inactive) ก็ไม่ดี ดีที่สุดคือ คริสตจักรที่สอนถูก ทำดี และทุ่มเท

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ23 สิงหาคม 2554 เวลา 06:52

    Thanks for this nice article! Keep on preaching the WORD!

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ25 สิงหาคม 2554 เวลา 09:33

    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับอาจารย์ และขอบคุณสำหรับการทำหน้าที่ผู้รับใช้พระเจ้าในฐานะนักวิชาการที่ดีครับ

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ25 สิงหาคม 2554 เวลา 11:12

    นี่คือบทความที่รอคอยมานานหลายปี ในที่สุดก็มีผู้เขียนออกมาจนได้ เขียนได้ตรงใจด้วย ขอบคุณพระเจ้า

    คนคิดเหมือนกัน...

    ตอบลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ26 สิงหาคม 2554 เวลา 17:56

    ชอบตรงที่ ดร.บอกว่า "...และโปรดอย่าเข้าใจว่านี่หมายถึงคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งเท่านั้น นักศึกษาส่งรายงานแบบนี้มาหลายคน เล่าเรื่องคล้ายๆ กัน แต่มาจากต่างที่กัน ก็เลยทำให้ทราบว่า ทุกวันนี้นโยบายลักษณะนี้มีใช้กันทั่วไปในหลายๆที่..."

    อึ้งกิมกี่

    ตอบลบ
  13. ไม่ระบุชื่อ26 สิงหาคม 2554 เวลา 18:08

    ขนลุกเลยค่ะ

    ตอบลบ
  14. ไม่ระบุชื่อ26 สิงหาคม 2554 เวลา 18:10

    เขียนดีมากค่ะ อยากอ่านเรื่องราวเชิงวิชาการที่มีคุณภาพแบบนี้อีก ไม่เอาแบบคำเทศนานะคะ อ่า่นบทความคริสเตียนส่วนใหญ่มีแต่คำเทศนา

    ตอบลบ
  15. ไม่ระบุชื่อ27 สิงหาคม 2554 เวลา 20:58

    เห็นความพยายามเขียนเป็นกลาง แต่ไม่แคล้วก็ทำให้นึกถึง คจ หนึ่งอย่างชัดเจน ทำให้เบื้องหลังเหมือนกำลังต่อว่า คจ หนึ่งอย่างเจาะจง (อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ผมฐานะผู้อ่านรู้สึกอย่างนั้น) ผมเคยเชื่อที่ คจ นี้ แต่ปัจจุบันมาทำงาน ตจว คห ส่วนตัวว่า การเหมารวมทั้ง คจ นั้นไม่เหมาะสมครับ เพราะ คจ มี ผน หลายคน ผช หลายส่วน บทความทางวิชาการควรจำแนกแยกแยะเป็นประเด็นไปครับ เขียนต่อไปนะครับ

    ตอบลบ
  16. ไม่ระบุชื่อ28 สิงหาคม 2554 เวลา 21:18

    อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการค้นหา คจ.ที่ดีที่สุด หรืออาจจะไม่มีวันเจอเลยก็ได้ แท้จริงแล้วมันไม่มีหรอก คจ.ที่ดีที่สุดน่ะ พระคัมภีร์เพียงสั่งให้เราผูกพันตัวกับ คจ.ท้องถิ่นสักที่แค่นั้นเองมิใช่หรือ เราทุกคนต่างก็รู้ว่าในวันสุดท้ายทุกคจ.จะมารวมกันเป็น คจ.สากล แล้วทำไมเราจึงไม่รวมกันทางใจเสียแต่วันนี้ อย่าให้เรามัวมาสงสัย คจ.อื่น หรือระแวง คจ.ของตัวเองเลย จำได้มั๊ยที่เจ้าของนาบอกว่าจำต้องให้ข้าวสาลีเติบโตปะปนไปกับข้าวละมานก่อน แต่เมื่อถึงเวลาเกี่ยว เราทุกคนถึงจะได้รู้ว่าข้าวใดจะถูกนำไปเก็บในยุ้งฉาง และข้าวใดจะถูกแยกออกไปเผาไฟ พระเจ้าเป็นผู้เดียวมิใช่หรือที่จะทรงตัดสินความ คจ.ทุกแห่ง (พระองค์จะทำแน่ในเวลาของพระองค์) ให้เรามาร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เฝ้าอธิษฐานเผื่อ คจ.ของเรา และอธิษฐานเผื่อ คจ.ทุกแห่งที่เอ่ยพระนามพระเจ้า...ขออย่าให้พระกายส่วนใดของพระองค์ถูกทำร้ายเลย เพราะส่วนอื่นที่เหลือทั้งหมดจะต้องพลอยเจ็บไปด้วย

    ตอบลบ
  17. ไม่ระบุชื่อ28 สิงหาคม 2554 เวลา 23:52

    ขอมองต่างมุมกับความเห็นข้างบนว่า พระคัมภีร์ก็ให้เราจัดการกับปัญหาผู้ที่สอนเท็จและทำผิด ซึ่งนี่ก็หมายถึงคริสตจักรที่สอนผิดและทำผิดด้วย เพื่อมิให้ส่งผลร้ายต่อผู้อื่น ฉะนั้นจะใช้หลักการว่าปล่อยให้ข่าวละมานโตไปกับข้าวสาลี แล้วให้พระเจ้าตัดสินในวันสุดท้ายคงไม่ถูกมังคะ ตีความพระคัมภีร์ผิดบริบทรึป่าวคะ

    ตอบลบ
  18. ไม่ระบุชื่อ29 สิงหาคม 2554 เวลา 22:13

    คริสเตียนควรศึกษาและมองดูบทบาทของฟาริสีให้ถ่องแท้ การพิพากษาการตัดสินผู้อื่น หาเหตุคอยจับผิดผู้อื่น อวดโอ้ตัวเอง นั่นแหละคือลักษณะของฟาริสี...วันนี้ใครกันบ้างท่ีมีคุณลักษณะแบบนั้น...ท่ีสุดเราทุกคนต้องยืนกล่าวรายงานต่อพระเจ้ามิใช่หรือ ?ใยมิยำเกรงพระเจ้า คริสเตียนควรโหยหาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รักกันและกัน เสมือนพระเจ้าทรงรักเราดีไหม การงานของแต่ละคนพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินแต่เพียงผู้เดียว

    ตอบลบ
  19. ไม่ระบุชื่อ31 สิงหาคม 2554 เวลา 09:08

    ผมอ่านบทความของอาจารย์แล้วผมรู้สึกว่าตรงใจดีครับ

    ซองวู ลี...

    ตอบลบ
  20. ไม่ระบุชื่อ31 สิงหาคม 2554 เวลา 16:08

    ขอบคุณค่ะที่มีคน กล้าเขียนสิ่งดีๆเพื่อจรรโลงสังคม ให้รู้ว่ากำลังทำอะไร ถูก ผิด ไม่ใช่มาตีความพระคัมภีร์เข้าข้างตนเอง สังคมคริสเตียนจะได้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น

    ตอบลบ
  21. ไม่ระบุชื่อ1 กันยายน 2554 เวลา 09:57

    ขอบคุณอาจารย์ค่ะ กล้าเขียนความจริง เพราะถูกปกปิดมานามาก จนเคยชิน
    จนวันที่พระเจ้าเขย่าอย่างแรง จึงจะรู้ได้ว่าอันตรายหรือไม่อันตราย ถ้าขืนดำเนินต่อไป ทำให้พระนามพระเจ้าเสียยิ่งกว่านี้อีก บางทียึดนโยบายมากกว่าพระคัมภีร์สะอีก
    เคร่งครัดกฎ ที่ไม่ใช่พระคัมภีร์ จนพระเจ้าเห็นว่ามันเริ่มเป็นรูปเคารพจึงให้เกิดการแยกเป็นส่วนๆ แหลกละเอียด ถ้ารับใช้พระเจ้าแล้วชีวิตไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เท่ากับเราทำงาน หรือกิจกรรมเลย หลังจากถูกแยะ คนจำนวนมากต้องมาบำบัดเยียวยา กันเยอะมาก เพราะใส่วิญญาญการฟ้องผิดลงไป ใส่วิญญาญการปรักปรำลงไป ถ้าไม่ทำตามนโยบาย เช่น คนนี้วิญญาญไม่ดี เป็นเหตุให้คนหวาดผวา กลัว และตกอยู่ในพันธนาการ ต้องทำ ทำ ทำ สร้างผลงานออกมา เพื่อให้รู้ว่าเกิดผล ถ้าไม่อันตรายอย่ากลัวที่จะถูกตรวจสอบ เพราะการตรวจสอบไม่ได้แปลว่าไม่ใว้วางใจ แต่ ทำให้เห็นถึงความโปร่งใส มากกว่า ขอบคุณอาจารย์ที่กล้าตีแผ่ความจริง เพราะ ไม่เช่นนั้นจะ จะข่มแต่คริสตจักรอื่นตลอด ถ้าถูกต้อง 100% จริงๆ พระเจ้าคงไม่ให้แยกออกมาเป็นส่วนๆๆ แหลก ละเอียด แสดงว่าพระเจ้าคงเห็นว่าดีจึงแยกออก ขอบคุณอาจารย์ที่เขียนตรงไปตรงมา

    ตอบลบ
  22. ไม่ระบุชื่อ2 กันยายน 2554 เวลา 01:17

    ในวันสุดท้าย ความจริงจะถูกเผาด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ แล้วจะรู้ว่าอะไรดี อะไรชอบธรรม อย่าว่ากล่าวแก่กันเลย คริสจักรเป็นของพระเจ้า
    พระองค์ทำได้ทุกอย่าง เพื่อต้องการแสดงให้ธรรมมิกชนทั้งหลายเห็นว่า
    พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุด อาเมน.

    ตอบลบ
  23. ไม่ระบุชื่อ3 กันยายน 2554 เวลา 11:09

    พระคัมภีร์ กล่าวถึง ทั้งการตัดสินและไม่ตัดสิน

    1) ไม่ตัดสินใน เมื่อเห็นว่ายังคลุมเคลืออยู่ เราทำได้เพียงแนะนำป้องกันให้ความรู้ แยกข้าวแยกปลาก็ให้พระเจ้าทำ
    2) ตัดสิน พิพากษา และป้องกันการสอนผิดในส่วนที่ขัดแย้งคำสอนอย่างชัดเจน ถึงจับได้ว่าผิดก็ยังต้องชักจูงให้โอกาสใหม่

    ความเห็นผมว่า คจ นี้ต้องการการปรับปรุงหลายอย่าง แต่ก็มี สมช และ ผู้นำมากมายที่มีหัวใจเพื่อพระเจ้า ผมไม่ได้ร่วมกับ คจ นี้มาเกือบสิบปีแล้ว แต่ก็ยังจำวันดีๆเหล่านั้นได้ มีทั้งบาดเจ็บเสียใจ แต่ลึกสุดใจก็อยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน ขอให้พระเจ้าได้ซ่อมแซมส่วนที่ต้องซ่อมใน คจ นี้ แต่อย่าถึงกับโยนกันลงบึงไฟกันทั้ง คจ ด้วยมือของเรากันเองในวันนี้เลย

    ตอบลบ
  24. ไม่ระบุชื่อ6 กันยายน 2554 เวลา 09:59

    เคยอยู่คริสตจักรแบบนี้เหมือนกันอยู่ตั้งหลายปี ระหว่างที่อยู่ก็มีเคยมีสันติสุขหรอก แต่ที่ไปเพราะเกรงใจ และรักษาหน้าเพราะจะถูกหาว่าไม่รักพระเจ้าบ้าง ไม่โตบ้าง พี่น้องที่นั่นที่สัมผัสก็ไม่ได้รักกันด้วยใจซักเท่าไหร่ออกจะแก่งแย่งชิงดีกันในบทบาทผู้นำซะด้วยซ้ำ ในใจคิดจะย้ายโบสถ์ตั้งนานและ แต่ไม่รู้ว่าจะไปเริ่มต้นยังไงที่ไหนดี พอดีเพื่อนที่สนิทอยู่โบสถ์เดียวกันตัดสินใจออกมาก่อน เราก็เลยตัดสินใจออกตามมา ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นตั้งเยอะ ไม่ต้องไปทำอะไรตามๆคำพูดของใครชักนำ ไม่ต้องรู้สึกผิดเวลาที่เราไม่มีเวลามารับใช้พระเจ้า เพราะจริงๆที่เราเรียกว่ารับใช้นั้นหนะ พระเจ้าไม่ได้รับรู้ด้วยหรอก เราถูกกลไลของชุมชนให้ทำงานให้มากกว่า เสียเงิน เสียเวลา มาตั้งนาน ณ ปัจจุบันถึงได้รู้ว่า น่าจะออกมาตั้งนานและ ได้พบชีวิตที่มีความสุข และสันติสุขมันเป็นอย่างนี้นี้เอง มีเสรีภาพ เหมือนที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น เพราะไม่อย่างนั้นพระเยซูคงไม่ต้องมาตายบนไม้กางเขนหรอก แต่นั่งออกกฏบังคับให้ต้องเชื่อและทำตามก็พอและอ้างว่าเป็นพระเจ้าต้องเชื่อฟังไม่งั้นจะบาป เพราะที่จริงพระเจ้าแท้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น พระเจ้าจะนับคนที่เชื่อด้วยใจและศรัทธาจริงๆ จนขับเคลื่อนเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตและแสดงออกเป็นการรับใช้อย่างมีสันติสุข ไม่ใช่ด้วยเสียงเชียร์ของคนรอบข้างว่าถ้าไม่รับใช้พระเจ้าก็ไม่อวยพร ไม่จริงหรอก เพราะเคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว ทางที่ดีเดินออกมาเถอะ แล้วเราจะได้เห็นน้ำพระทัยพระเจ้าชัดขึ้นว่าพระเจ้าต้องการให้เราทำอะไรกันแน่ในโลกใบนี้

    ตอบลบ
  25. ไม่ระบุชื่อ6 กันยายน 2554 เวลา 11:23

    เคยอยู่คริสตจักรแบบนี้เหมือนกันอยู่ตั้งหลายปี ระหว่างที่อยู่ก็ไม่เคยมีสันติสุขหรอก แต่ที่ไปเพราะเกรงใจ และรักษาหน้าเพราะจะถูกหาว่าไม่รักพระเจ้าบ้าง ไม่โตบ้าง พี่น้องที่นั่นที่สัมผัสก็ไม่ได้รักกันด้วยใจซักเท่าไหร่ออกจะแก่งแย่งชิงดีกันในบทบาทผู้นำซะด้วยซ้ำ ในใจคิดจะย้ายโบสถ์ตั้งนานและ แต่ไม่รู้ว่าจะไปเริ่มต้นยังไงที่ไหนดี พอดีเพื่อนที่สนิทอยู่โบสถ์เดียวกันตัดสินใจออกมาก่อน เราก็เลยตัดสินใจออกตามมา ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นตั้งเยอะ ไม่ต้องไปทำอะไรตามๆคำพูดของใครชักนำ ไม่ต้องรู้สึกผิดเวลาที่เราไม่มีเวลามารับใช้พระเจ้า เพราะจริงๆที่เราเรียกว่ารับใช้นั้นหนะ พระเจ้าไม่ได้รับรู้ด้วยหรอก เราถูกกลไลของชุมชนให้ทำงานให้มากกว่า เสียเงิน เสียเวลา มาตั้งนาน ณ ปัจจุบันถึงได้รู้ว่า น่าจะออกมาตั้งนานและ ได้พบชีวิตที่มีความสุข และสันติสุขมันเป็นอย่างนี้นี้เอง มีเสรีภาพ เหมือนที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น เพราะไม่อย่างนั้นพระเยซูคงไม่ต้องมาตายบนไม้กางเขนหรอก แต่นั่งออกกฏบังคับให้ต้องเชื่อและทำตามก็พอและอ้างว่าเป็นพระเจ้าต้องเชื่อฟังไม่งั้นจะบาป เพราะที่จริงพระเจ้าแท้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น พระเจ้าจะนับคนที่เชื่อด้วยใจและศรัทธาจริงๆ จนขับเคลื่อนเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตและแสดงออกเป็นการรับใช้อย่างมีสันติสุข ไม่ใช่ด้วยเสียงเชียร์ของคนรอบข้างว่าถ้าไม่รับใช้พระเจ้าก็ไม่อวยพร ไม่จริงหรอก เพราะเคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว ทางที่ดีเดินออกมาเถอะ แล้วเราจะได้เห็นน้ำพระทัยพระเจ้าชัดขึ้นว่าพระเจ้าต้องการให้เราทำอะไรกันแน่ในโลกใบนี้

    ตอบลบ
  26. ดีดีบุ้คช้อป (คจ.กิจการของพระคริสต์)9 กันยายน 2554 เวลา 08:21

    ถ้าอาจารย์รวมบทความในหัวข้อนี้แล้วตีพิมพ์เป็นหนังสือเมื่อไหร่จะช่วยสนับสนุนแน่นอนค่ะ

    ตอบลบ
  27. ไม่ระบุชื่อ14 กันยายน 2554 เวลา 21:35

    อ่านแล้วโดนใจอย่างจัง อยากให้คจ.ที่คิดว่าสอนดีสุด นมัสการลึกสุด รับใช้เต็มกำลังตื่นเต้นที่สุด รักและมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับคจ.อื่นๆที่ยึดหลักการพระเจ้าในการรับใช้ เพื่อให้เห็นงานพระเจ้าสำเร็จในประเทศไทย มากกว่าที่จะคิดว่า คจ.ของชั้นเก่ง ดี เลิศ เพียงที่เดียว ที่อื่นใช้ไม่ได้ แค่เริ่มต้นความคิดก็ผิดพระคัมภีร์แล้ว อยากเห็นทุก คจ.ในเมืองไทยร่วมมือกันในการรับใช้ไม่แบ่งฝักฝ่าย เพื่อที่พระพรจะเทลงมาในประเทศไทย
    ขอให้ ดร. เขียนบทความดีๆ อย่างนี้อีกนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

    ตอบลบ
  28. ในบทความของอาจารย์ ออกตัวไว้ว่า ไม่ได้หมายถึง คริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่ง แต่หลายๆ ความเห็น กลับมุ่งไปที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้วิพากษ์วิจารณ์รู้ดี ว่าคริสตจักรใด

    แม้ว่าท่านจะบอกว่า ไม่ได้เอ่ย แต่ใจของท่านรู้ดี ว่าท่านกำลังหมายถึงคริสตจักรไหน...

    ผมอยู่คริสตจักรที่หลายๆ ท่านเหล่านั้นนึกถึงครับ อยู่มา 22 ปี กว่าแล้ว

    แปลกใจที่ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น มีแต่สันติสุข ที่ได้รับใช้พระเจ้า

    ตามที่ผู้นำได้วางแบบอย่างการรับใช้ด้วยความทุ่มเท เสียสละ ด้วยความเต็มใจ และเห็นคุณค่าในพระราชกิจของพระเจ้าได้มอบหมายให้เรามีส่วนกระทำ เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ร่วมกับคริสเตียนทั่วประเทศไทยและทั่วโลก ที่จะทำให้พระมหาบัญชาพระเจ้าสำเร็จ

    เราไม่เคยกล่าวอวดตัวว่าเราดีกว่าใคร...น่าเสียใจ ที่หลายท่านตีความว่า เราอวดตัว

    คำว่า "เทศนาลึกสุด" "นมัสการสูงสุด" และ.....หลายๆ สุด นั้น

    ไม่ใช่คำอวดตัว แต่คือความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นแบบนั้น เรายังต้องพัฒนามากขึ้น และไม่ใช่เพื่อจะยกตัวเองข่มผู้อื่น หากมีท่าทีแบบนั้น พระเจ้า ย่อมไม่อวยพรเราแน่ เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรในจิตใจ ท่าทีจึงสำคัญที่สุด

    แต่สิ่งที่เรามุ่งมั่นที่จะก้าวไปให้ถึงจุดนั้น ก็เพื่อให้ทุกคนที่ผูกพันร่วมกันในพระักาย ได้รับพระพร เติมเต็ม และพัฒนาชีวิตกับพระเจ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้รู้จักพระเจ้าในมิติที่ลึกยิ่งๆ ขึ้น

    หลายครั้งมีหลายคนกล่าวถึงคริสตจักรเราว่า "รับใช้ร้อนรนเกินไป" ซึ่งหากดูจากพระคัมภีร์แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ผิดพระคัมภีร์เลย มีแต่พระคัมภีร์เตือนไว้ว่า

    อย่าเพียงแต่อุ่นๆ

    "เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน
    เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา" (วว.3:15-16)

    น่าเสียใจ ที่หลายๆ ข้อความ ไม่เข้าใจบริบท จับแต่เพียงบางด้านที่ได้ยินมา แล้ววิพากษ์วิจารณ์ จนถึงเข้าข่าย "ตัดสินพี่น้อง" ไปแล้ว

    ทั้งที่ อาจารย์ก็ย้ำว่า ไมไ่ด้หมายถึงคริสตจักรใด

    ตอบลบ
  29. ไม่ระบุชื่อ17 กันยายน 2554 เวลา 11:42

    มีเพื่อนที่มาจากคริสตจักรแบบนี้เหมือนกัน พูดเพ้อเจ้อ อวดตัว ชอบชักชวนโน้มน้าวให้ไปโบสถ์ด้วย ถ้าไม่ไปก็โทรตื้ออยู่นั้นแหละ วิธีการของพวกเค้าเหมือนพวกขายตรงหาสมาชิกเลย ชีวิตของคนที่จากคริสตจักรนี้ก็โสมมยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าซะอีก เตือนๆคนที่รู้จักอย่าไปยุ่งด้วยจะดีกว่า เสียเวลา และเห็นพวกเค้าไม่ค่อยมีสันติสุขเท่าไหร่ ต้องทำเป้าในการนำคนไปโบสถ์ รู้สึกไม่ค่อยดีกับวิธีการแบบนี้เลย เพราะกี่คนที่รู้จักที่มาจากโบสถ์นี้นิสัยแบบนี้ทั้งนั้น (เลิกวิธีการแบบนี้เถอะ คนเค้ารู้กันหมดแล้ว และทำให้พวกคุณดูไม่ดีด้วย) เพื่อนคริสเตียนโบสถ์อื่นเค้าไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ก็คงรู้ว่าหมายถึงโบสถ์ไหน

    ตอบลบ
  30. ชื่อกฤช จันทร ชลบุรีครับ
    ออกมาด้วยพระวิญญาณขับเคลื่อนครับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2554 ปัจจับัน
    ทำกันที่บ้านก็ไม่เห็นว่าพระเจ้าไม่อวยพรหรือมีโทษใดใด
    มธ.12:28 แต่ถ้าเราขับผีออก ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าแผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว
    ออกมาเถอะครับ ชวนกันออกมา ปล่อยให้ผีมันอยู่กับพวกผีๆ ถึงเมื่อก่อนจะดูเหมือนเจริญเติบโต วันนี้เป็นอย่างไรดีกว่าเดิมไม๊ เปล่าเลยมีแต่ถดถอย
    ออกมาเถอะครับแม้เข้าข่ายเพียงข้อเดียวใน17ข้อก็อันตรายแล้ว ผีย่อมหลอก ผีย่อมน่ากลัว พระเยซูถึงต้องขับผี และพระองค์ก็มาเพื่อการนี้

    ตอบลบ
  31. ทำไมถึงชอบพูดว่าคจ.โน้นเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น ทามไมคุณถึงกล้าที่จะพิพากษา คจ.ของพระเจ้า ถามหน่อยว่าคุณดีแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง พระคัมภีร์บอกว่าไม่ว่าคำพูดทุกคำพูดนั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ทุกการกระทำนั้นมีผลด้วยทั้งสิ้น หยุดเถอะสิ่งที่คุณคิดสิ่งที่คุณพูดทุกอย่างต้องกล่าวเสนอรายงาน
    ต่อพระเจ้า ใครเขาจะทำถูก หรือทำผิดพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา คุณพูดว่ากันไป
    ทำมารชอบใจมาก ที่ปากบอกว่าเป็นลูกพระเจ้า แต่ให้มารใช้ความคิด เสียดายกับความรู้ ที่พระเจ้าประทานให้มา แค่คิดก็ผิดแล้ว พระเจ้าทรงเป็นความรักสิ่งที่คุณพยายามสื่อออกไป นั้นขอบอกว่าไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งสิ้นในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าให้เราถ่อมใจ เหมือนพระคริสต์ที่พระองค์ ทรงถ่อมใจ เราจะไม่อวดตัว ว่าเราสมบรูณ์แล้ว ทุกคนที่เชื่อมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ต้องแสดงตัวว่าเป็นผู้หวังดี อย่างสร้าง วิญญาณแตกแยก ขอให้เสริมสร้างพระกายเถอะนะ สงสารพระเยซู พระองค์คงเศร้าพระทัย เพราะการกระทำต้องเกี่ยวเก็บผลปลายทางทุกคนต่างก็รับใช้ อย่าให้เราบ่นว่ากันและกันเลย บำเหน็จต่างคนต่างรับ

    ตอบลบ
  32. คนบาปที่รักพระเยซู7 มกราคม 2555 เวลา 05:20

    ผมเคยอยู่ในคริสตจักรนี้ ทุกอย่างตรงหมด การเมือง สิทธิอำนาจ จนผมเองหลงหาย และกำลังหาสถาณที่นมัสการ
    ก็เห็นด้วยกับทุกความเห็นนะ...

    แต่ทำไมนะ เวลาผมอ่านความเห็นของพี่น้องที่โจมตีคริสตจักรแล้ว...
    ...น้ำตาผมมันไหลไม่หยุดจริงๆ

    ก็พี่น้องทุกคนที่ผมรักและรู้จักเค้าดี เค้ายังอยู่ในคริสตจักรนี้ (ทั้งที่ตอนผมออกมาผมก็ว่าพวกเค้าเสียๆหายๆ แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกเสียใจที่พวกเค้าถูกมองแบบนี้)

    ความรู้สึกนึงก็อยากช่วยพวกเค้าให้ออกมา
    ...แต่ว่า แล้วที่เค้าทำตอนนี้เค้าไม่ได้ทำเพราะรักพระเจ้าเหรอ..
    ความผูกพันของพวกเค้าล่ะ..

    ...ผมคิดว่า ผมจะกลับไปประคับประคองพวกเค้าครับ พวกเค้าไม่ได้ทำผิดอะไร
    ยิ่งผมรู้เรื่องราวในวันนี้ ผมก็อดเป็นห่วงพวกเค้าไม่ได้
    ผมหวังว่าคงมีซักทางนึงที่คริสเตียนไทยจะร่วมกันโดยไม่เกิดความแตกแยก

    อธิษฐานเผื่อผมด้วยนะครับ
    ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนนะครับ

    ตอบลบ
  33. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2555 เวลา 15:46

    หากทุกคริสตจักรเห็นด้วยเรื่องการปรับปรุงบางอย่าง(เช่นวิญญาณฟ้องผิดและปรักปรำจากสิทธิอำนาจ ท่าทีที่เข้าใจว่าตนเองดีและถูกต้องที่สุดจนทำให้คนที่ยังไม่เชื่อเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าผิดไป) ก็ควรจะช่วยกันปรับปรุง ไม่ใช่การล้มล้าง..
    อยากให้ทุกคริสตจักรร่วมใจกัน สร้างภาระใจที่จะส่งฑูตเข้าไปช่วยเหลือคริสตจักรอันตรายเหล่านี้ เพราะยังไงเราก็ทิ้งพวกเขาไม่ได้ (รวมถึงกลุ่มเทียมเท็จที่เชื่อในพระเจ้าที่เราได้ช่วยเค้าเต็มที่แล้ว) เมื่อทิศทางตรงกัน วันที่คริสตจักรไทยจะรวมเป็นหนึ่งต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยังพอมีทางและเชื่อว่าถ้าทุกคนทำเต็มที่ พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูจิตใจพวกเราแน่นอน

    ขอพระเจ้าอวยพร เอเมน

    ตอบลบ
  34. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2555 เวลา 16:08

    สอบถามเรื่องการบำบัดครับ

    ตอบลบ
  35. ไม่ระบุชื่อ22 มกราคม 2555 เวลา 12:21

    เห็นด้วยคะคริสตจักรดังกล่าวหล่อหลอมให้เรามองพระเจ้าผิด ดำเนินชีวิตไม่สมดุล ไม่เอาใครนอกจากโบสถ์และการนำจากศิษยาภิบาลสูงสุด ไม่โปร่งใสในการดำเนินการ คนที่อยู่ในระบบแบบนี้ต้องรีบออกมานะคะ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยอยู่ในคจ.แบบนี้ มองย้อนไปแล้วก้ขอบคุรพระเจ้าจริง ๆที่ออกมาได้ เชื่อว่าพระเจ้ากำลังแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงที่แท้จริงกับผู้รับจ้าง

    ตอบลบ
  36. ไม่ระบุชื่อ2 เมษายน 2557 เวลา 00:01

    ผมอยู่คริสจักรแห่งนี้ครับ ครอบครัว วงศ์วาน พี่น้อง หลายคนครับ เคยรู้สึกเหมือนท่านที่บ่นพ้อต่อว่า เคยพาภรรยาและลูก ไปแสวงหาที่รับใช้ คือย้ายโบสถ์ใช้เวลาประมาณ 2 ปี ครับ ทั้งไทย และต่างประเทศ ยิ่งรู้สึกห่างไกลสันติสุข ผู้ใดที่ถูกสร้างจาก คจ แห่งนี้ เมื่อไปร่วมรับใช้ หรือร่วมนิมิตกับ คจ อื่น มันรู้สึกเหมือนว่านักกีฬาวิ่ง 200 เมตร ต้องมาเดินทน หรือคลานทน ประมาณนั้น พี่น้องท่านใดหลงหายไปก็กลับมาเถอะครับ ท่านจะได้ความรู้สึกที่ร้อนรนในการรับใช้ ความชื่นชมยินดี ที่เกินขีด ใครบอกว่า คจ เราถดถอย นับสถิติวันนี้หรือยังครับ คงไม่ต้องบอกว่าอันดับที่เท่าไหร่ นี่ยังไม่+2+3 ตามแผนการขยายงานรับใช้ .......พระเจ้ายิ่งใหญ่ครับ

    ตอบลบ
  37. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  38. ไม่ระบุชื่อ15 กรกฎาคม 2561 เวลา 07:58

    ตามพระมหาบัญชาคือให้ผู้เชื่อเสริมสร้างกันและกันให้มั่นคงในความเชื่อที่ถูกต้องยืนอยู่บนหลักข้อเชื่อของอัครทูตจนถึงสู่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์ทุกที่ีมีคนที่ตั้งใจจริงในการแสวงหาพระเจ้าเมื่ิอถึงวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงนำเขาไปในที่ๆเหมาะสมที่สำคัญทุกแห่งไม่มีที่ไหนถูกต้องสมบูรณ์แต่ละที่ก็เป็นเพียงอวัยวะเล็กๆทำหน้าที่ถวายเกียรติแแด่พระกายพระคริสต

    ตอบลบ
  39. วันนี้วันที่30/7/2561เพิ่งรู้ว่าโดนหลอกไปขายของอยู่ในงานๆหนึ่งซึ่งตอนแรกบอกกับเราว่าเป็นงานแตะฟุตซอลที่สนามอารีน่าหนองจอกเราไปขายเพราะบอกว่าเป็นการแข่งทั่วประเทศตั้งแต่วันที่27-31และมีประชุมนิดหน่อยขายไปสามวันเพิ่งรู้ว่าเป็นงานของกลุ่มอะโบปกลุ่มแบบที่เราอ่านข้างต้นเลยมี ดารา พันพลุแตกด้วยที่อยู่ในกลุ่ม มี ดร.เป็นผู้นำ แบบนี้เราฟ้องร้องกับใครใด้บ้างเหมือนโดนหลอกลวงแถมขายของแทบไม่ใด้เพราะมีแต่ชาวบ้านยากจนคนแก่และเด็กเป็นส่วนมากและคนพิการปกพร่องก้อเยอะน่าสงสาร ใครทราบช่วยบอกเราที

    ตอบลบ
  40. ที่คิดว่าโดนหลอกไปขายเพราะเสียค่าที่แพงแต่กลับไม่ใด้ขายคนที่ซื้อจริงๆมีน้อยมากๆเห็นคนขายน้ำดื่มก้อโดนบังคับให้ขายน้ำยี่ห้อของทางกลุ่มทั้งที่ลงทุนน้ำมาก้อเยอะแต่บอกว่าห้ามขายมีในสัญญาด้วยซึ้งถามเขาก็บอกว่าไม่เคยเห็นสัญญาจะรู้ใด้ไง แปลกมากๆคะถามอะไรก้อจะตอบไม่ตรงกันสักคนคะ

    ตอบลบ
  41. ผมก็เคยอยู่ผมว่าข้อดีเขาก็มีมากคนเชื่อพระเจ้าได้เพราะเขาก็มีมาก

    ตอบลบ
  42. ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อพระเจ้าก็เพราะเขาอะไรดีเราก็เอา
    ไม่ดีก็ไม่เอาเอาแต่ส่วนดีดีกว่าไม่ควรพูดถึงเขาไม่ดีเพราะก็คือพี่น้องในความเชื่อองค์พระเยซู
    คริตส์ว่าเขาก็เหมือนทำลายคริตส์จักรของพระเจ้า

    ตอบลบ
  43. ทำเรื่องของคุณให้ดีดีกว่าพระเยซูให้
    ให้ความสำคัญกับท่าทีภายในใจของเรามากกว่าที่เราจะไปพิจารณาคนอื่น

    ตอบลบ
  44. ทำส่วนของเราให้ดีคือไปประกาศพาคนมาเชื่อพระเยซูคือคำสั่งสุดท้าย
    ที่พระเยซูจะจากเราไปอย่ามาทำลายกันเลยเพราะเขาก็คือพี่น้องเราใน
    พระเยซูคริสต์ไม่ชอบก็ไปที่อื่นร่วมกันทำงานพระเจ้าพระเจ้าสอนให้เราอยู่อย่าง
    สันติกับทุกคน

    ตอบลบ

  45. พระเยซูสอนให้ให้เราอยู่อย่างสันติกับทุกคน

    ตอบลบ
  46. เป็นคนอย่าลืมบุญคนส่วนหนึ่งเราเชื่อพระเจ้าได้ก็เพราะเขาถ้าเรา
    ไม่อย่าอยู่กับเขาแล้วก็อย่าไปว่าเขาดีกว่าอยู่อย่างสันติเถิดพระเจ้า
    สอนเพราะเขาก็คือพี่น้องเราในพระเยซูคริตส์ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งเขา
    ก็ยังรักพระเจ้าเขายังติดตามพระเจ้า

    ตอบลบ
  47. ถ้าเราไม่ชอบเขาก็ออกมาอย่างเงียบเงียบดีกว่าเที่ยวไปพูดถึงเขาไม่
    ดีมันบาป

    ตอบลบ
  48. การรับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีคุณไม่พร้อมรับใช้พระเจ้าคุณก็อยารับใช้เลยพระเจ้าไม่ได้บังคับคนที่มีหัวใจอย่างพระเยซูอย่างแท้จริงเขาจะไม่
    ออกมาคนที่ยอมเป็นทาสพระคริตส์เขาจะไม่มีสิทธิบ่น

    ตอบลบ
  49. การรับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีคนรับใช้พระเจ้าคือคนที่ถวายตัวเขาให้กลับพระเจ้า
    จะไม่บ่นว่ามากไปถ้าคุณไม่พร้อมรับใช้พระเจ้าก็อย่ารับใช้เลยและอย่าไป
    ว่าคนอื่นด้วยคนที่ยอมเป็นทาสพระคริตส์เขาจะไม่มีสิทธิ์บ่นถ้าคุณ
    ยังไม่พร้อมเป็นทาสพระคริตส์ก็อย่าไปว่าเพื่อน

    ตอบลบ
  50. ระวังเที่ยววิจารณ์เพื่อนมากมากชีวิตจะตกอยู่ในคำแช่งสาประวังจะเป็นเครื่องมือให้มารใช้ทำร้ายคริตสจักรของพระเจ้า

    ตอบลบ
  51. อะไรพูดไม่เกิดประโยชน์ต่องานพระเจ้าก็อย่าพูดดีกว่า

    ตอบลบ
  52. เที่ยวไปพาดพิงคริตส์จักรเพื่อนทำของตัวเองให้ดีไม่ต้องไปวิจารณ์ทุกคริตส์จักรก็มีทั้งข้อดีข้อด้อยอย่าไปว่าเพื่อนบาปทุกคริตส์จักรก็คือพระกายพระคริตส์

    ตอบลบ
  53. วิธีการบางอย่างเขาอาจจะเคยทำผิดพลาดไปมันผิดที่คนบางคนคุณอย่าเอาไปเหมา
    รวมผมว่าคำสอนของเขาไม่ดีคำสอนหลายอย่างดีไม่ผิดสามารถเปลี่ยนโลกได้ผมเคยอยู่คริตส์จักรนี้อันหนึ่งที่ผมชอบการออกไปทำพันธกิจตามที่ต่างต่างออกไปประกาศพาคนมาเชื่อให้ได้รับความรอดนี้คือน้ำพระทัยของพระเยซูถ้าไม่เน้นการประกาศจะมีคนเชื่อได้อย่างไรจะเปลี่ยนโลกได้ไงเอาพระวัจนะมาพูดดีกว่าอย่าเอาหลักคุณเอากฏหมายพระเจ้ามาพูดดีกว่าผมเคยไปอยู่อื่นไม่มีที่ไหนมีมากเท่านี้มันอาจจะมีแต่ผมเห็นน้อยมากที่มีนโยบายอย่างนี้นี้คือคำสั้งของพระเยซูให้เราออกไปประกาศ
    พระเยซู

    ตอบลบ
  54. วิธีการบางอย่างเขาอาจจะเคยทำผิดพลาดไปบ้างมันผิดที่คนบางคนไม่ใช่ทุกคนคุณอย่าเอาไปเหมา
    รวมผมว่าคำสอนของเขาหลายอย่างดีไม่ผิดสามารถเปลี่ยนโลกได้ผมเคยอยู่คริตส์จักรนี้อันหนึ่งที่ผมว่าใช่คือการออกไปประกาศออกไปทำพันธกิจตามที่ต่างต่างออกไปประกาศพาคนมาเชื่อให้ได้รับความรอดนี้คือน้ำพระทัยของพระเยซูถ้าไม่เน้นการประกาศจะมีคนเชื่อได้อย่างไรจะเปลี่ยนโลกได้ไงเอาพระวัจนะมาพูดดีกว่าอย่าเอาหลักคุณมาพูดเอากฏหมายพระเจ้ามาพูดดีกว่าผมเคยไปอยู่อื่นไม่มีที่ไหนมีมากเท่านี้มันอาจจะมีแต่ผมเห็นน้อยมากที่มีนโยบายอย่างนี้นี้คือคำสั้งของพระเยซูให้เราออกไปประกาศ
    พระเยซู

    ตอบลบ
  55. ข้อดีเป็นคริตสจักรที่เดินด้วยความเชื่อโดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศเกิดจากศรัสธาในพระเจ้าไม่มใครให้เงินก็รับใช้เดินด้วยหัวใจ

    ตอบลบ
  56. คนไม่เชื่อพระเจ้ายัง บอกว่า คนเรามีส่วนดีและไม่ดี
    ไม่มีใครดี100%และชั่ว100% แม้แต่ร่างกายคนเรายังต้องมีพวกแบคทีเรียคอยย่อยอาหาร
    ดังนั้น คนฉลาดมักนำสิ่งดีของคนอื่นมาต่อยอด ไม่ใช่เอาสิ่งที่ไม่ดีมาประจานความเชื่อของตัวเองสู่สาธารณะ จงเลียนแบบพระเยูตำหนิและชมเชยคริสตจักรทั้ง7ในวิวรณ์ ไม่ใช่เพื่อ ทำลายล้าง แต่ต้องการให้กลับใจและเริ่มต้นใหม่ ด้วยท่าทีที่พระองค์ทรงรักคริสตจักรที่ไม่สมบูรณ์แต่กำลังไปสู่ความเติบโต ถ้าไม่กลับใจพระเจ้าจะพิพากษาเอง ไม่ใช่มนุษย์
    เหมือนที่พระเจ้าปล่อยให้ แพะกับแกะ ข้าวสาลีข้าวละมาน หญิงพรหมจรรย์และหญิงแพศยา เติบโตมาด้วยกัน ไม่รีบทำลายเพราะจะทำให้แกะ ข้าวสาลี หญิงพรหมจรรย์ ถูกทำลายไปด้วย รอให้โตไปพร้อมกัน แล้วพระเจ้าจะแยกเอง (มนุษย์ชอบก้าวก่ายงานพระเจ้า หน้าที่ตัวเองไม่ค่อยทำ) ดังนั้นขอสรุปว่า คริสตเตียน1%เอ๋ย อย่ากัดกัน จงคงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และฝากการพิพากษาเป็นของพระเจ้า

    ตอบลบ
  57. ไม่ระบุชื่อ22 เมษายน 2562 เวลา 00:05

    สวัสดีครับ. อจ.ศิลป์ชัย ที่เคารพ

    วันนี้วันอิสเตอร์ เป็นวันที่นำมาซึ่งชัยชนะและความชื่นชมยินดี นำมาซึ่งความหวังกำลังใจ แต่ผมกลับได้รับสิ่งที่เลวร้ายมากๆ คือผู้กลับใจใหม่ในคริสตจักรของเรา ได้ถูกเพื่อนที่ไม่เป็นคริสต์ ส่งลิ้งเรื่องคริสตจักรอันตรายมาให้อ่าน พอเขาอ่านจบ ผู้เชื่อใหม่คนนี้ได้ตัดสินใจขอลาออกจากเป็นคริสเตียน เขายังส่งลิ้งนี้ไปให้ผู้เชื่อคนอื่ยๆอีก 4-5คน อ่านตอนทานข้าวเที่ยงด้วยกัน พอตอนจะกลับบ้านพวกเขาก็มาขอลาออกจากคริสเตียน เพราะเขาตกใจมากว่าคริสเตียนอันตรายจริงๆเหรอ. เขาเชื่อได้8-10เดือน มาโบสถ์ตลอด เป็นนักศึกษาปี2-4. มหาลัยเขาบอกว่าไม่แปลกเลยที่โบสถ์์์ถูกพวกก่อการร้ายบอมส์ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ

    เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดของผู้รับใช้ ที่พยายามอธิบายแล้วว่าไม่เป็นอย่างนี้ทุกโบสถ์ และก็ไม่น่าจะมีโบสถ์แบบนี้ในเมืองไทย ส่วนใหญ่อจ.เขาแปลจากตำราฝรั่ง แต่เด็กกลุ่มนี้ก็ไม่ฟัง เพราะกลัว และผมพยายามบอกว่าโบสถ์เราเป็นโบสถ์์์์เล็กๆ มี25-30คน เพิ่งตั้งได้10ปี (อยู่แถวหนองแขม) ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นอันตรายกับใคร มีกิจกรรมของสหกิจ แบ้บติสต์ เราก็เข้าร่วมตลอด งานรวมศาสนาเราก็ไปร่วม เป็นมิตรกับผู้เชื่อทุกคนแต่พวกเขาก็ไม่ฟัง.

    พวกเขาก็ยังจะขอลาออกจากคจ.และไม่ขอเป็นคริสเตียน จะไปนับถือพุทธเหมือนเดิมดีกว่า สบายใจ

    จะทำไงดีครับ หนักใจมากๆ คจ.เราก็มีคนไม่เยอะ. พอมาเจอเรื่องนี้ในเน็ตที่ส่งต่อๆกัน ในไลน์ในเฟส ทำให้คนอ่อนกำลังและหลงหายไปกี่คนแล้ว เมื่ออ่านเรื่องนี้ ซึ่งก็ยากที่จะอธิบาย

    จะดีกว่าไหมครับที่จะลบบทความนี้ออกจากระบบเน็ต เพราะเห็นแก่คนที่มีความเชื่อน้อย ไม่มีใครอธิบายได้ บทความนี้ก็เหมือนบัตรสนเท่ จากต่างประเทศ แล้วคนไทยก็เชื่อว่ามีจริงๆ ก็กลัวที่จะเชื่อพระเจ้าต่อ เหมือนที่คจ.ผมเจอวันนี้ เศร้าใจมากครับ

    ขอความกรุณาลบบทความคจ.อันตรายเถอะครับ อจ.

    ขอพระเจ้าอวยพร

    ขอบคุณครับ

    GCcthai

    ตอบลบ
  58. สำหรับน้อง ถือว่ารับใช้เก่ง เพราะสามารถเป็นหัวหน้าหน่วย หัวหน้าแขวงได้ แต่เราเป็นได้แค่สมาชิก
    เราเคยถูกดูหมิ่น เหยียดหยามต่างๆนาๆ ไม่ยอมพัฒนาตนเอง และต้องเชื่อผู้นำเท่านั้น และพอบอก อยากแต่งงาน วัยเราสมควรแต่งได้แล้ว ก็จะถูกกล่าวร้ายว่าบ้าผู้ชาย วิ่งไล่ตาม ให้ท่าผู้ชาย แต่งตัวสวย ดูแลตัวเอง ใส่ใจเสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่ได้ ให้เลิกแต่ง ตัดผมสั้น จะได้เอาเงินมาถวายข่าวประเสริฐ พอเราไม่ได้ดั่งใจจพวกเขา คนในโบสถ์ก็รุมเกลียด ไม่คบ ชอบพูดให้เรารู้สึกว่าเราด้อยค่า
    เราย้ายมาอยู่ คจ. ตรงลาดพร้าว80 เราเริ่มมีสันติสุข เขาบอก เราอยากแต่ง แต่งไปเลย เรื่องจิตวิญญาณ เป็นเรื่องเรากับพระเจ้า 2คน พอให้พวกเขาอธิษฐาน เรื่องแต่งงาน เขายินดีอธิษฐานให้
    ความจริง เรารอด เราได้พระคุณแล้ว ได้รับการไถ่โดยโลหิตพระเยซูแล้ว

    ตอบลบ
  59. วันนี้ได้มาถกเถียงกับเพื่อนเรื่อง คริสตจักร Bethel ที่อเมริกา และจึงต่อด้วยการหารายชื่อคริสตจักรเทียมเท็จในประเทศไทย จนมาเจอบทความนี้ และได้พบว่า คริสตจักรที่หนูเคยอยู่นั้น มีหลักการเหล่านี้เกือบครบทุกประการ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำหนูออกมา และตอนนี้หนูได้รู้จักกับคริสตจักรนึงในย่านบางกะปิ ที่สอนพระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง และไม่มีการใส่ความคิดของผู้นำในพระคำของพระเจ้า

    เหนือการนำวิญญาณสร้างสาวก จริงอยู่ว่าพระมหาบัญชาของพระเยซูคืออันนี้ แต่ถ้าเราไม่ได้มีเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้อง แล้วเราจะไปทำให้เกิดผลต่อได้อย่างไร อีกอย่างไม่ใช่ทุกคนที่จะมีของประทานแบบนั้นทั้งหมด ฉะนั้น การเลือกและแยกแยะคริสตจักรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญต่อฝ่ายจิตวิญญาณมาก หากคุณจะบอกว่าคุณถูกล่อลวงจากคนเหล่านี้ แต่ถ้าสาเหตุมาจากการที่คุณละเลยและไท่ได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง อันนั้นก็คงเป็นความรับผิดชอบของคุณต่อพระเจ้าเอง และเรื่องราคาที่ต้องจ่ายนั้น คงไม่น้อยแน่นอน

    อย่างไรก็ตามขอบคุณสำหรับบทความนี้นะคะ ที่ให้เราสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ว่าคริสตจักรของพระเจ้าควรเป็นแบบไหน

    ขอบพระคุณและขอพระเจ้าอวยพรค่ะ ^^

    ตอบลบ

นี่เป็นเวทีเสรีแต่โปรดสุภาพและไม่พาดพิงผู้อื่นอย่างไร้จริยธรรม รวมทั้งสนับสนุนให้ระบุชื่อจริง กองบก.ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบทความและความคิดเห็นอีกทั้งอาจลบหรือแก้ไขหากเห็นว่าไม่เหมาะสม ส่งความคิดเห็นโดยตรงต่อกองบก.ได้ที่ networkchurchministry@gmail.com

คริสตจักรเครือข่ายบ้าน's Facebook Wall