ท่านที่กำลังทำหรือประสงค์จะทำคริสตจักรเครือข่ายหรือคริสตจักรเครือข่ายบ้านหรือต้องการสนับสนุน โปรดแจ้งให้ทางพันธกิจทราบเพื่อจะได้ช่วยเชื่อมโยงกับที่อื่นๆเพื่อจะช่วยเหลือกันและกันได้อย่างกว้างขวาง แจ้งมาที่ networkchurchministry@gmail.com / ดาวโหลดเอกสารแนะนำ

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เริ่มตั้งคริสตจักรตามบ้าน บทที่ 3 ภาพรวม (รูปแบบคริสตจักรเปลี่ยนไปแล้ว)


เราได้ยินเรื่องราวจากทั่วโลก คำพรรณาถึงการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ปลุกเร้าหัวใจของเรา มีที่ซึ่งคนนับเป็นหมื่นๆ พากันหลั่งไหลเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า คริสตจักรกำลังเกิดขึ้นอย่างทวีคูณวันแล้ววันเล่า



เราเป็นกลุ่มแรกสุดที่ได้รับสิทธิพิเศษด้วยการเห็นกับตาตนเอง  มีครั้งหนึ่งโรลแลนด์และไฮดี เบเกอร์ ได้ร่วมรู้เห็นในการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณของพระเจ้าในสาธารณรัฐโมซัมบิก ซึ่งยากจนที่สุดในโลก จากการเริ่มต้นเพียงเล็กๆ เวลานี้พวกเขามีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเด็กมากกว่า 1,000 คนที่ไดัรับการช่วยเหลือจากชีวิตที่ยากจนข้างถนน และจากเมืองซึ่งไม่ใส่ใจคนไร้ค่า  เวลานี้มีคริสตจักรกว่า 3,000 แห่งตั้งขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในโมซัมบิกและประเทศเพื่อนบ้าน การใช้เวลา 2-3 วันในหมู่บ้านเพื่อทำงานด้านสาธารณะสุข  และเทศนาข่าวประเสริฐ  ตลอดจนการต้องทิ้งคริสตจักรที่มีผู้เชื่อใหม่ 50-100 คนให้ติดตามศิษยาภิบาลซึ่งโรลแลนด์และไฮดีฝีกฝนไว้นั้นเป็นประสบการณ์ที่เราลืมไม่ลง


ในประเทศอินเดีย เราใช้เวลากับผู้ตั้งคริสตจักรคนหนึ่งซึ่งได้ตั้งคริสตจักร 3,000 แห่งมาตั้งแต่ปี 1993 เมื่อมีคนถามว่าเขาคิดว่าคริสตจักควรเป็นอย่างไร  เขาจะตอบอย่างสุภาพว่า  "รักษาจำนวนให้น้อยเข้าไว้"  ** หากกลุ่มใดมีสมาชิก 3 ครอบครัวซึ่งรับบัพติศมาแล้ว มีคนในกลุ่มเป็นผู้นำ และสามารถแยกออกไปตั้งคริสตจักรได้อย่างน้อย 1 แห่ง เราก็ถือว่าเป็นคริสตจักรได้ **  และกระแสดังกล่าวนี้ เราพบว่ามีคนประมาณ 100,000 คนที่กลับใจเป็นคริสเตียน


นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระดับโลก  ในหนังสือ  "กระแสการตั้งคริสตจักรอย่างรวดเร็ว"  ฉบับย่อ  เขียนโดย เดวิด แกริสัน คณะเซาท์เทิร์นแบ๊บติสต์  (ฉบับแปล  สถาบันคริสเตียนศึกษาและพัฒนาคริสตจักร) รายงานดังนี้


+ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อผู้ประสานยุทธศาสตร์ของคณะเซาท์เทิร์นแบ๊บติสต์เริ่มต้นภารกิจที่ได้รบมอบหมายในปี 1993 นั้น  มีคริสตจักรในพื้นที่เพียง 3 แห่ง  และมีผู้เชื่อ  85 คนจากจำนวนประชากรที่มากกว่า 7 ล้านคน  หลังจากนั้น   4 ปี   คริสตจักรเพิ่มขึ้นเป็ฯ  550 แห่ง และมีผู้เชื่อ  55,000 คน


+ อินเดีย 
ชายสูงอายุที่กลับใจเชื่อพระเยซูจากกระแสการตั้งคริสตจักร (CPM) ได้ตั้งคริสตจักร  42 แห่งภายในปีแรกที่เขารับเชื่อนั้นเอง



+ แอฟริกาเหนือ 
นักบวชมุสลิมชาวอาหรับคนหนึ่งพูดอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาเทศนาประจำวันศุกร์ว่ามีมุสลิมจำนวนมากกว่า 100,000 คนที่อาศํยอยู่บริเวณรอบแถบภูเขาได้เปลี่ยนจากมุสลิมมาเป็นคริสเตียน


+ บางเมืองในประเทศจีน
ภายในช่วงเวลา 4 ปี  (1993-1997) มีคนรับเชื่อพระเยซูเกินกว่า 20,000 คน ส่งผลให้เกิดคริสตจักรใหม่มากกว่า 500 แห่ง


+ ยุโรปตะวันตก
มิชชันนารีในยุโรปคนหนึ่งรายงานดังนี้   "ปีที่แล้ว (1998) ผมและภรรยาเริ่มตั้งกลุ่มเซลล์ของคริสตจักรขึ้นใหม่ 15 แห่ง  เดือนกรกฏาคมเราต้องกลับบ้าน ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อทำภารกิจบางอย่าง  หลังจากนั้น 6 เดือน เรากลับไปยุโรปอีกครั้งและต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น  คริสตจักรแพร่ขยาย อย่างอัศจรรย์ เราตรวจสอบได้ว่า ขณะนี้ มีคริสตจักรแล้วอย่างน้อย 30 แห่ง  แต่ผมเชื่อว่า ยังมีจำนวนมากกว่านี้อีก 2-3 เท่า"


+ เอธิโอเปีย
มิชชันนารีซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์คนหนึ่งให้ความเห็นว่า  "ภายใน  30 ปี เราตั้งคริสตจักรในประเทศนี้ได้ 4 แห่ง  แต่ช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมา เราตั้งคริสตจักรได้ถึง 65 แห่ง"


ขณะนี้ ทุกพื้นที่ทั่วโลกกำลังสั่นสะเทือนจาก  "กระแสการตั้งคริสตจักร (CPM)" ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง  บางครั้งเราได้ยินเพียงตัวเลข  แต่บางครั้ง ก็มีคำบอกเล่าที่เป็นชีวิตร่วมด้วย  เช่นเมื่อเร็วๆนี้  เราได้รับอีเมล์ว่า "คริสตจักรเซลล์ทั้งหมดของเรามีศิษยาภิบาลและผู้อำนวยเป็น"ฆราวาส"ทั้งหมด  เพราะงานของเราก้าวไปรวดเร็วมากจน มิชชันนารีแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากนำศึกษาพระคัมภีร์อย่างมาก 2-3 ครั้ง แล้วพระเจ้าก็จะให้มีผู้นำใหม่เกิดขึ้นอย่างน้อย หนึ่งคน  ดูเหมือนว่าผู้นำใหม่จะได้รับความรอดและการทรงเรียกให้เป็นผู้นำไปพร้อมๆกัน  ดังนั้น  เราจึงให้บัพติศมาแก่เขาและให้พระคัมภีร์เขาเล่มหนึ่งหลังจากที่ผู้เชื่อใหม่ หรือผู้นำใหม่ได้รับบัพติศมาแล้ว  คนเหล่านี้ก็มีความร้อนรนมาก จนเราไม่สามารถยับยั้งพวกเขาได้  คนเหล่านี้กระจายออกไปทุกคนทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อตั้งกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ในที่ต่างๆ  หลังจากนั้น 2-3 อาทิตย์ เราก็จะเริ่มได้รับแจ้งกลับมาว่าเขาได้ตั้งไปกี่แห่งแล้ว  นี่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดที่เราเคยเห็น   "เราไม่ได้เริ่มมันขึ้นมา และเราก็หยุดมันไม่ได้ด้วย"


แล้วพระเจ้าสามาระทำเช่นนี้ในที่อื่นๆ ได้หรือไม่  หรือเราพึงพอใจจะเป็นเพียงแค่ผู้ชมข้างสนาม  คอยดูสิ่งที่กำลังเกิดกับที่อื่นๆทั่วโลก พันธกิจ House2House ของเราอยู่ในฐานะที่มีสิทธิพิเศษเนื่องจากได้รับการติดต่อจากผู้คนทุกๆวัน ซึ่งเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าใช้พวกเขาให้ตั้งคริสตจักรใหม่อย่างไร  สำหรับประเทศของเราอาจยังไม่มีจำนวนตัวเลขมากมายเหมือนประเทศอื่นๆ แต่หยดน้ำเล็กๆที่เริ่มต้น  จะรวมตัวกลายเป็นลำธาร  และกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากในที่สุด  ขอพระองค์ทำงานเถิด


เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์  พระเจ้าทรงช่วงกู้เจ้าสาวของพระองค์คือ คริสตจักรกลับคืนสู่แผนงานดั้งเดิมของพระองค์  ในหนังสือกิจการ  คริสตจักรขยายออกไปอย่างรวดเร็ว  คริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่ เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่ง  เป็นโครงสร้างที่มีชีวิตซึ่งทุกคนมีความสำคัญและบทบาทของตน  พวกเขาพบปะกันที่บ้านเป็นส่วนใหญ่  แบ่งปันชีวิตกันเป็ฯประจำทุกวัน  การพบปะกัน เป็นวิธีชีวิตมากกว่าเป็นการประชุมหรือการสอน  แต่เมื่อถึงยุคของจักรพรรดิ์คอนสแตนติน ความเชื่อคริสเตียนแปรไปเป็นศาสตาประจำชาติ  มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย  คริสตจักรกับสังคมร่วมกันบ่ายหน้าเข้าสู่ช่วงประวัติศาสตร์ที่เรียกกันว่า "ยุคมืด"

เริ่มแรก  การข่มเหงของโรมส่งผลให้คริสตจักรทวีจำนวนขึ้น แต่เมื่อถึงค.ศ.313  จักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นผู้ประกาศพระราชกฤษฏีกาแห่งมิลาน (Edict of Milan)  อันเป็นจุดสิ้นสุดของการข่มเหงคริสเตียน

เมื่อคริสเตียนถูกยอมรับอย่างเป็นทางการเช่นนี้  ก็เป็นที่รู้กันว่าทุกคนที่เกิดในอาณาจักรนี้จะได้ชื่อว่าเป็น "คริสเตียน"  โดยอัตโนมัติ  การเป็นสมาชิกของคริสตจักรกลายเป็นสิ่งน่าดึงดูดด้วยเหตุผลทางโลก  ผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรง จากอิทธิพลของโรมต่อคริสตจักรนี้ ทำให้ยุโรปเข้าสู่ยุคประวัติศาสาตร์ที่ในปัจจุบันเรียกว่า  "ยุคมืด"

จักรพรรดิ์สร้างวิหารเพื่อให้คริสเตียนมาชุมนุมกันเหมือนประเพณีของศาสนานอกรีดในยุคนั้น  อิทธิพลของเพลโต เช่น การใช้กระจกสี  หลังคมสูงยอดแหลม  เพดานโค้งก็เข้ามาร่วมด้วย  สิ่งเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อเข้าถึง   "พระเจ้าที่เขาไม่รู้จัก"  หนังสือของเจมส์ รัตช์ ชื่อ  The Open Church  (คริสตจักรเปิด)  พูดถึงการที่นักบวชเป็นอาชีพที่ได้รับเงินตอบแทนว่าเกิดขึ้นในยุคนี้

นักบวชและฆราวาสนั้นแตกต่างกันมาก  ซึ่งยังคงมีอิทธิพลอยู่จนปัจจุบัน  ความแตกต่างนี้เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการในคริสตจักรศตวรรษที่ 4  คำสั่งในพระคัมภีร์ที่บอกว่า  ผู้เชื่อทุกคนเป็นปุโรหิตหลวงถูกละเลย คริสเตียนกลายเป็นผู้สังเกตุการณ์  ปิดปากเงียบให้นักบวชเป็นตัวแทนเข้าเฝ้าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่  ยุคมืดเข้าแผ่ปกคลุมพวกเขาอย่างรวดเร็ว!  ยุคมือกิระยะเวลายายนาน 
(ไมค์  และ ชู  โดกีวิคซ์ จาก The Prodigal Church)


ในยุคแรกได้มีผู้พยายามปฏิรูปคริสตจักร บางคนต้องเสียชีวิตไปเช่นเดียวกันสาวก  และยังมีบุคคลอื่นๆ  เช่น  ลูเธอร์และคาลวินที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านศาสนศาสตร์ และวัฒนธรรมอย่างยิ่งยวด

อาร์เธอร์ วอลลิส  ผู้อาวุโสของคริสตจักรนิวเชิร์ชแห่งสหราชอาณาจักรได้อธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาคริสตจักรตลอดหลายศตวรรษทีผ่านมาในคำนำของหนังสือ Another Wave Rolls In (คลื่นลูกใหม่) เขาได้เปรียบเทียบพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เคลื่อนผ่านคริสตจักรเป็นเหมือนกระแสที่ทรงพลัง เป็นพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล  งดงามและมีฤทธานุภาพ  โดยแสดงให้เห็นเป็นคลื่นที่กระทบก้อนหิน  ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางทางได้  คลื่นแต่ละลูกแสดงความจริงที่เปิดออกมาและเป็นสิ่งที่คริสตจักรแต่ละกลุ่มคว้าไว้  สำหรับกลุ่มปฏิรูปศาสนา  ความจริงทีว่านี้คือความรอดซึ่งมาจากความเชื่อ  สำหรับกลุ่มแบ๊บติสต์ ความจริงคือความสำคัญของการบัพติศมาด้วยการจุ่มมิด   และกลุ่มเพนเทคอส  ความจริงคือการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง อันเป็ฯการเข้าสู่พระกายของพระคริสต์  พระเจ้ากำลังเปิดเผยทีละขั้น  (นำแสงสว่างใหม่ๆ มาจากพระคัมภีร์ซึ่งไม่มีขีดจำกัดของการเวลา)  เพื่อเป็นทางให้พระองค์เสด็จมาพบคริสตจักร  และวันหนึ่งเจ้าสาวของพระองค์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ  (อฟ. 5:26)
(โทนี่ และเฟลิซินี้ เดล  จาก  Simply Church)


แต่ในบรรดากระแสเหล่านี้  ไม่มีกระแสดใดสามารถเปลี่ยนฐานโครงสร้างของคริสตจักรได้เลย

ปัจจุบัน เราเห็นว่าพระเจ้าทรงเน้นการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่คริสตจักรใช้ ให้กลับเข้าสู่พื้นฐานในทุกทวีป  กระแสการตั้งคริสตจักรที่กำลังผลิบานมีรากฐานอยู่ที่กลุ่มเล็กๆ  ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน  ที่ทำงาน  โรงงาน  โรงเรียน  หรือที่ซึ่งคนมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยมี่กลุ่มฆราวาสเป็นผู้นำ   ความแตกต่างระหว่างผู้รับใช้เต็มเวลาและฆราวาสมีให้เห็นเพียงเล็กน้อย  พวกเขาเป็นนักประกาศที่ร้อนรน  เอาจริงเอาจัง  ผู้เชื่อใหม่ถูกสร้างให้เป็นสาวก  และเป็นวงจรหมุนเวียน  โดยการที่พวกเขาถูกส่งออกไปตั้งคริสตจักรใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งมีกลไกโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน  มีการใช้เวลาด้วยกันซึ่งมักเป็นช่วงรับประทานอาหาร  มีความเป็นธรรมขาติลื่นไหล และสนองความต้องการของผู้เข้าร่วม  ทุกคนมีบทบาทที่ต้องเล่น  ไม่มีใครเป็นผู้เข้าชมข้างสนาม

ผู้นำในประเทศอินเดียคนหนึ่งพูดไว้ไม่นานามานี้ว่า

"นี่คือช่วงเวลาแห่งพระคุณของอัครทูตในประเทศอินเดีย  ทุกสิ่งที่เราเคยเรียกว่าคริสตจักรกำลังเปลี่ยนไป  คริสตจตักรกำลังเปลี่ยนแปลงจากพันธกิจของศิษยาภิบาลไปเป็นพันธกิจของอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ  คริสตจักรกำลังเปลี่ยนการนมัสการที่ประชุมเฉพาะวันอาทิตย์ มาเป็นนมัสการทุกวัน  คริสตจักรกำลังเปลี่ยนจาก "คนเดียวฉายเดี่ยวมาเป็นทุกคน"  คือ ปุโรหิตหลวง"  พระเจ้าตรัสว่า  "ในวาระสุดท้าย เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราโปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง

สรรเสริญพระเจ้า  การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้น คริสตจักรกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนมัสการในตัวตึก ณ. ที่แห่งเดียว  ไปเป็นรูปแบบที่ทุกบ้านคือพระนิเวศน์ของพระเจ้า  คริสตจักรกำลังเปลี่ยนรูปแบบฝูงชุมนุมชนไปเป็นรูปแบบคริสตจักรตามบ้าน  จากกลุ่มใหญ่ไปเป็นแบบ "สองสามคนประชุมกันที่ไหน เราก็อยู่ด้วย"  คริสตจักรกำลังเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบการนมัสการแบบประเพณีนิยมไปเป็นนมัสการแบบเปิดกว้างในทุกคนมีส่วนร่วม  คริสตจักรจะเป็นที่ซึ่งทุกคนมีส่วนร่วม

คลื่นลูกใหม่กำลังเคลื่อนมา  สิ่งที่กำลังเกิดกับคริสตจักรทั่วโลกขณะนี้ อาจกว้างไกลเกินกว่าการปฏิรูปคริสตจักรที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์

นิมิตของพันธกิจดอว์น  (สร้างสาวกทั่วทุกชาติ)  คือคริสตจักรแต่ละแห่งใกล้กันขนาดเดินด้วยเท้าถึงกันได้ และนิมิตนี้ได้แปลงไปเป็นคริสตจักรตามพระมหาบัญชาที่กำลังมุ่งเข้าหาชุมชนที่มีคนตั้งแต่ 500 - 1,000 คน เมื่อ 25ปีที่แล้ว  ประเทศฟิลิปปินส์คาดการณ์ว่า จะต้องมีคริสตจักรอย่างน้อย 50,000 แห่ง จึงจะสามารถบรรลุนิมิตนี้ได  เราเคยมีการพูดคุจกันในหมู่คริสตจักร  องค์กรมิชชันนารี  และกลุ่มผู้ร่วมงานในท้องถิ่นในการนำความคิดนี้ไปสู่การปฏิบัติ ผลที่ได้คือ  ขณะนี้พวกเขาไปได้ไกลเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว  นั่นคือมีคริสตจักรที่กำลังจะตั้งขึ้นมากกว่า 60,000 แห่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร? ประเทศไทยมีประชากรมากกว่า 70 ล้านคน เรากล้าหาญพอที่จะเชื่อพระเจ้า และให้เกิดคริสตจักร 1,000 แห่งในจังหวัดหรือเมืองที่เราอยู่หรือไม่?  ให้ชุมชน  หมู่บ้าน  หอพัก  บ้านพักผู้สูงอายุ  แต่ละที่จะมีคริสตจักรตั้งอยู่ 1 แห่ง

เมื่อไม่นานมานี้  ในประเทศสหรัฐอเมริกา  ได้มีการท้านทายคริสเตียนให้ตั้งเป้าหมายให้มีคริสตจักรตามบ้านเกิดขึ้น 1 ล้านแห่ง  มีผู้ทักท้วงบ้างในเรื่อง การตั้งเป้าหมายเป็นตัวเลขโดยพูดว่า  คุณภาพต่างหากที่เราควรให้ความสำคัญให้ที่นี้  เขากำลังหมายถึงชีวิตและชุมชนที่เปลี่ยนแปลง

=> ปฏิบัติ
+ ต้องมีคริสจักรกี่แห่งในเมือง  หรือสถานที่ที่คุณอยู่เพื่อจะสำเร็จตามพระมหาบัญชา  นิมิตคริสตจักรหนึ่งแห่งต่อ 1,000 คน

ผมชอบเอาตัวโต้กับคลื่นในมหาสมุทร  เวลาที่คุณโต้คลื่น  คุณจะอยู่ในน้ำรอคลื่นลูกใหญ่ที่คุณจะเกาะเกี่ยวในเสี้ยวของเวลาที่พอเหมาะก่อนที่มันจะแตกกระจายไป  คุณจะไม่สนใจคลื่นลูกอื่นๆ  เมื่อคุณเห็นคลื่นลูกใหญ่ๆกำลังมาแต่ไกล  คุณจะรู้แน่ว่า  นี่เป็นคลื่นที่คุณกำลังรออยู่  เมื่อมันมาถึงตัว  คุณก็กระดกกระดานซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ติดตัวคุณอยู่เวลานั้น  ถ้าคุณกะจังหวะถูก  คลื่นก็จะพัดพาคุณจนถึงฝั่งได้

คลื่นคริสตจักรตามบ้าน หรือคริสจักรที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน  ที่พูดมานี้เป็นคลื่นที่เรากำลังคอยอยู่  เราเพียงแค่โถมตัวออกไป  ขณะที่คลื่นม้วนเกลียวเข้ามาเท่านั้น  เรากำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่โต้คลื่นนี้  นี่เป็นเวลาที่จะกระดกกระดานแล้ว

=> ปฏิบัติ
1. ดูวีซีดี  "กระแสการตั้งคริสตจักร " โดยเดวิด แกริสัน 
2. อ่านหนังสือ "กระแสการตั้งคริสตจักรอย่างรวดเร็ว (ฉบับย่อ)"  โดย  เดวิด แกริสัน


[สะกิดใจ]

1. กระแสการตั้งคริสตจักรคืออะไร?  คำจำกัดความที่ง่ายและกระชับของกระแสการตั้งคริสตจักร (Church Planting Movement - CPM) คือการเพิ่มจำนวนคริสตจักรอย่างรวดเร็ว และเป็นทวีคุณ  โดยที่คนในคริสตจักรท้องถิ่นเองเป็ฯผู้ตั้งคริสตจักรภายในกลุ่มเชื้อชาติ  หรือบางส่วนในกลุ่มชนของเขา (เดวิด  แกริสัน จาก "กระแสการตั้งคริสตจักรอย่างรวดเร็ว")

2. "คริสตจักรในประเทศจีน (โดยเฉพาะคริสตจักรใต้ดิน) เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยคำ 3 คำ  ซึ่งตอกย้ำอย่างหนักแน่น และได้แพร่ไปทั่วในหมู่คริสเตียนชาวจีน  ชาวจีนชอบความก้าวหน้าแบบ "ดี  ดีกว่า  ดีที่สุด"  ดังนั้นคำขวัญของพวกเขาคือ  "เป็นเรื่องดี ถ้าคริสเตียนจะนำคนมาหาพระคริสต์  และจะดีกว่านั้นถ้าเขาตั้งคริสตจักร  แต่จะดีที่สุดถ้าเขาจุดกระแสการตั้งคริสตจักร"

คริสเตียนชาวอินเดียก็มี 3 ประโยคที่ตอกย้ำอย่างหนักแน่นเช่นกันคือ "คริสเตียนทุกคนตั้งคริสจักรได้  บ้านทุกหลังเป็นคริสตจักรได้  คริสตจักรทุกแห่งเป็นโรงเรียนพระคริสตธรรมได้" (จอห์น ไวท์)

3. ตัวเร่งให้เกิดการปฏิวัตครั้งใหม่นี้คือคนธรรมดา  ไม่ใช่คนพิเศษ  การเปลี่ยนแป่งจะต้องเกิดขึ้นมากมาย  ในขณะที่บางสิ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้  และจะต้องไม่เปลี่ยนด้วย  ตัวอย่างเช่น  พระคัมภีร์ซึ่งต้องเป็นมาตราฐานของคริสตจักรมาโดยตลอด  ก็จะต้องเป็นต่อไป  แต่มีจุดเปลี่ยนสำคัญ  บางอย่างที่ต้องมีให้เห็นในคริสตจักรตั้งใหม่



4. พิจารณารูปแบบการขยายพันธุ์ของช้างและกระต่าย



** จากหนังสือ เริ่มตั้งคริสตจักรตามบ้าน โดย Felicity Dale

1 ความคิดเห็น:

นี่เป็นเวทีเสรีแต่โปรดสุภาพและไม่พาดพิงผู้อื่นอย่างไร้จริยธรรม รวมทั้งสนับสนุนให้ระบุชื่อจริง กองบก.ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบทความและความคิดเห็นอีกทั้งอาจลบหรือแก้ไขหากเห็นว่าไม่เหมาะสม ส่งความคิดเห็นโดยตรงต่อกองบก.ได้ที่ networkchurchministry@gmail.com

คริสตจักรเครือข่ายบ้าน's Facebook Wall