ท่านที่กำลังทำหรือประสงค์จะทำคริสตจักรเครือข่ายหรือคริสตจักรเครือข่ายบ้านหรือต้องการสนับสนุน โปรดแจ้งให้ทางพันธกิจทราบเพื่อจะได้ช่วยเชื่อมโยงกับที่อื่นๆเพื่อจะช่วยเหลือกันและกันได้อย่างกว้างขวาง แจ้งมาที่ networkchurchministry@gmail.com / ดาวโหลดเอกสารแนะนำ

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กระแส"คริสตจักรตามบ้าน”ในเมืองลุงแซม (บทความจาก คมชัดลึก)


(ลงใน นสพ.คมชัดลึก คอลัมภ์ต่างประเทศ  ณ วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2553)

คมชัดลึก :  นายบิล เบนนิงฮอฟฟ์ เลิกเดินทางเข้าโบสถ์มาตั้งแต่ปี 2548 ไม่ใช่เพราะเลิกนับถือพระผู้เป็นเจ้า หากแต่เป็นเพราะเขาเห็นว่าการร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในวันอาทิตย์ตามบ้านคริสตชนผู้ร่วมอุดมการณ์น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

“การอยู่ในคริสตจักรตามบ้านจะทำให้คุณได้รู้จักเพื่อนชาวคริสต์ของคุณอย่างแท้จริงทั้งในยามสุขและยามทุกข์” หนุ่มวิศวกรชาวอเมริกันรายนี้ให้ความเห็น



เขาเชื่อว่าการได้สวดมนต์ร่วมกันในกลุ่มคนเล็กๆ ช่วยเพาะบ่มความรู้สึกกลมเกลียว เป็นหนึ่งเดียวและเป็นชุมชนเดียวกัน “ผมและภรรยาเลือกเข้าสู่คริสตจักรตามบ้านเพราะเรารู้สึกโดดเดี่ยวหลงทางในโบสถ์ใหญ่ๆ” นายเบนนิงฮอฟฟ์ เปิดเผยความรู้สึก

 ล่าสุด บริษัทบาร์นา กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการข้อมูลทางศาสนาและสังคม ได้แถลงให้ทราบว่าชาวอเมริกันจำนวนราว 6-12 ล้านคนกำลังเปิดรับกระแสคริสตจักรตามบ้านอย่างเต็มหัวใจ

นายโรบิน เยลเดลล์ อดีตประธานคณะกรรมการโบสถ์แห่งหนึ่ง ยอมรับว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในคริสตชนกลุ่มดังกล่าว

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาตัดสินใจจัดพิธีมิสซาในบ้านของเขาเองโดยมีสมาชิกครอบครัวและผู้ศรัทธาในวิถีทางเดียวกันอีกบางส่วนมาร่วมด้วย บรรยากาศเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวาท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเด็กๆ ที่จะยอมเงียบเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

ทุกคนที่มาร่วมพิธีทักทายพูดคุยกันก่อนจะเดินหน้าเข้าสู่ห้องครัวเพื่อรำลึกถึงพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูด้วยการสวดมนต์ กินขนมปังและจิบไวน์แดง สำหรับเด็กๆ พวกเขาจะดื่มน้ำองุ่นพอเป็นพิธี

จากนั้น ทุกคนก็รับประทานอาหารร่วมกันโดยอาหารและเครื่องดื่มแต่ละอย่างก็เป็นของที่ครอบครัวเยลเดลล์เตรียมไว้บ้างหรือที่บรรดาแขกหยิบติดไม้ติดมือมาจากบ้านบ้างนั่นเอง เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว ทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่ห้องรับแขกอีกครั้งเพื่อขับขานเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าโดยมีสมาชิกรายหนึ่งเป็นผู้บรรเลงเสียงกีตาร์ประกอบ

หลังจากการร้องเพลง นายเยลเดลล์เริ่มนำเสนอแนวคิดเรื่องการให้ผ่านโปรแกรมเพาเวอร์พอยท์และทีวีจอใหญ่ในห้องรับแขก

ในขณะที่ผู้มาร่วมพิธีกำลังถกกันว่าควรบริจาคเงินเป็นประจำหรือไม่นั้น นายฌอน อัลเลน ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างพอดิบพอดีพร้อมกับเล่าให้ฟังว่าตนเองล้มป่วยและมีปัญหาขัดสนเรื่องเงินทอง

“คุณจะเลือกทำอย่างไรก็ได้ ขอให้พระเจ้านำทางให้แก่คุณ” ผู้มาใหม่วัย 39 ปีกล่าวเบาๆ

นายอัลเลนเพิ่งเปลี่ยนศาสนาจากอิสลามมาเป็นคริสต์ได้ไม่นานนัก แต่ได้ค้นพบเรื่องคริสตจักรตามบ้านจากเพื่อนในโบถส์แห่งหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงแวะเวียนมาร่วมพิธีมิสซา ณ บ้านของนายเยลเดลล์บ้างเป็นบางครั้ง เพราะชื่นชอบในบรรยากาศที่เป็นกันเอง

ทุกอย่างเป็นไปตามคาดเพราะความใกล้ชิดสนิทสนมในระดับที่เป็นส่วนตัว ผู้คนในพิธีมิสซากลางบ้านของนายเยลเดลล์หลายต่อหลายคนเสนอให้ความช่วยเหลือแก่นายอัลเลน หลายคนเสนอจะเขียนเช็คส่งเงินไปชำระหนี้ที่นายอัลเลนติดค้างอยู่ตามบริษัทต่างๆ ในขณะที่ครอบครัวหนึ่งเสนอเลี้ยงข้าว เลี้ยงน้ำในทุกคราวที่นายอัลเลนแวะเวียนไปหาพวกเขาที่บ้านแม้ว่าพวกเขาเองจะมีเงินใช้จำกัดเพราะมีลูกถึง 5 คนก็ตาม

นายโทนี่ เดล และภรรยา หนึ่งในผู้ริเริ่มกระแสคริสตจักรตามบ้าน ระบุว่าคนที่เลือกประกอบพิธีทางศาสนาตามบ้านในวันอาทิตย์มักเป็นคริสตชนที่เคร่งครัด

“พวกเขามีชีวิตอยู่ตามคำสอนของพระเยซู” นายเดลกล่าวด้วยความเชื่อมั่น

แม้ว่าคริสตจักรตามบ้านหรือโบสถ์ตามบ้านจะมิได้มีป้ายติดประกาศให้ผู้คนทั่วไปได้รับทราบ แต่กระแสดังกล่าวก็ยังคงแพร่หลายไปได้เรื่อยๆ ผ่านการแนะนำแบบปากต่อปากหรือการป่าวประกาศทางอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

“ยิ่งไปกว่านั้น พอเริ่มมีคนมารวมตัวกันเยอะ ณ บ้านบ้านหนึ่งก็จะเริ่มมีการแตกตัวไปจัดพิธีในลักษณะเดียวกันที่อีกบ้านแล้วก็อีกบ้านไปเรื่อยๆ” นายเดลอธิบาย

นายเอ็ด สเต็ทเซอร์ อาจารย์ด้านฝึกสอนนักบวช แสดงความคิดเห็นว่ากระแสคริสตจักรตามบ้านเริ่มแผ่ขยายไปทั่วเพราะชาวคริสต์จำนวนไม่น้อยเริ่มอยากกลับไปปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูแบบง่ายๆ หลังจากที่เห็นโบสถ์ใหญ่ๆ กลายสภาพไปเหมือนองค์กรทางธุรกิจ

ดร.แนนซี รัมเซย์ คณบดีโรงเรียนเทวนิยมไบรท์ โต้ว่าการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในโบสถ์ยังคงเป็นเรื่องจำเป็นเพราะบาทหลวงและนักบวชที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างถูกต้องจะช่วยชี้นำทางสว่างให้แก่คริสตชนได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องมีการตีความคำสอนในบางส่วน

“เราจึงกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของคริสตจักรตามบ้าน อย่างไรก็ตาม เรากล้าบอกว่าเราไม่รู้สึกว่ากระแสดังกล่าวจะคุกคามเราได้” เธอกล่าว

ทว่า นายนีล โคล ผู้นำเครือข่ายคริสตจักรตามบ้านแห่งหนึ่ง ย้ำว่าชาวคริสต์มิได้จำเป็นต้องพึ่งพิงนักบวชในการเรียนคำสอนของพระเยซูหรือพระผู้เป็นเจ้า

“พระเจ้าสื่อสารกับเราได้เสมอไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือพูดภาษาอะไรก็ตาม” นายโคลย้ำ


เรียบเรียงโดย อุริสรา โกวิทย์ดำรงค์
แหล่งข้อมูล เอพี

ที่มา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นี่เป็นเวทีเสรีแต่โปรดสุภาพและไม่พาดพิงผู้อื่นอย่างไร้จริยธรรม รวมทั้งสนับสนุนให้ระบุชื่อจริง กองบก.ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบทความและความคิดเห็นอีกทั้งอาจลบหรือแก้ไขหากเห็นว่าไม่เหมาะสม ส่งความคิดเห็นโดยตรงต่อกองบก.ได้ที่ networkchurchministry@gmail.com

คริสตจักรเครือข่ายบ้าน's Facebook Wall